นายภัทร บุญญลักษม์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นาโน อิเลคทริค โปรดักส์ จำกัด กล่าวว่าบริษัทก่อตั้งขึ้นปี2529 เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนพลาสติกที่ใช้ในงานวิศวกรรม มุ่งเน้นทำธุรกิจผลิตสินค้าสำเร็จรูปและชิ้นส่วนสินค้าตามความต้องการของลูกค้า (OEM) โดยบริษัทผลิตชิ้นส่วนพลาสติกป้อนอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ คอมพิวเตอร์ รวมถึงอุปกรณ์และส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าให้แก่แบรนด์ชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยปี 2550 บริษัทขยายฐานการผลิตเพิ่มเติมและก่อตั้งแบรนด์ นาโน อิเลคทริค โปรดักส์ เพื่อจัดจำหน่ายสินค้าประเภท ท่อร้อยสายไฟ รางเก็บสายไฟ ตู้กันน้ำ กล่องกันน้ำ แผงไฟฟ้าพลาสติก ตู้คอนซูมเมอร์ สวิตซ์-เต้ารับ เป็นต้น โดยได้รับการยอมรับเรื่องคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์มาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สอดรับกับทิศทางการดำเนินธุรกิจหลักที่ปรับเปลี่ยนไปมากยิ่งขึ้น จึงเปลี่ยนชื่อบริษัท จากเดิมบริษัท บางบอน พลาสติค กรุ๊ป จำกัด เป็น บริษัท นาโน อิเลคทริค โปรดักส์ จำกัด ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ภายใต้คอนเซปต์ “ครบเครื่องเรื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์พลาสติกก่อสร้าง”
” การเปลี่ยนชื่อบริษัทครั้งนี้ เป็นผลจากที่บริษัท ต้องการสะท้อนตราสินค้าผ่านชื่อบริษัท เพื่อให้ผู้บริโภคทั่วไปรวมทั้งลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์เกิดการจดจำแบรนด์ นาโนฯ ได้ง่ายมากขึ้น และปรับกลยุทธการตลาดใหม่ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเซกเมนต์ ด้วยผลิตภัณฑ์และความสามารถในการผลิตของบริษัทเอง ” นายภัทร กล่าว
นายภัทร กล่าวว่า ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจครึ่งปีหลัง 2565 บริษัทวางแผนการตลาด เดินเกมรุกเจาะกลุ่มเซกเมนต์ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็ม โดยเตรียมขยายพื้นที่การผลิตสินค้าและโกดังสินค้าเพิ่มขึ้นกว่า 8,000 ตารางเมตร ทั้งเพิ่มกำลังการผลิตโดยสั่งซื้อเครื่องจักรจากญี่ปุ่นและเยอรมัน คิดเป็นมูลค่าการลงทุนกว่า 200 ล้านบาท และเพิ่มทีมเจ้าหน้าที่บริหารงานขายโครงการที่มากด้วยประสบการณ์ รวมถึงเข้าเป็นพาร์ทเนอร์กับสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.), สมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร (BSA), สมาคมช่างเหมาไฟฟ้าและเครื่องกลไทย (TEMCA) และช่องทางการประชาสัมพันธ์ทางออนไลน์อื่นๆ อีกมากมาย เพื่อเพิ่มการโปรโมทและสร้างแบรนด์ดิ้ง ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจระยะยาว
นายภัทร กล่าวว่า ช่วง 4 เดือนแรก 2565 บริษัทสร้างยอดขายรวม 435 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% และตั้งเป้าหมายทำรายได้ทั้งปีนี้ 1,500 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากบริษัทปรับกลยุทธทางการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เจาะเข้ากลุ่มลูกค้ามากขึ้น สอดคล้องกับผู้ประกอบการหลายแห่งต้องปิดการให้บริการและปรับปรุงพื้นที่ ป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์พลาสติกก่อสร้างมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ 70% จากกลุ่มร้านค้าทั่วประเทศ เพราะมั่นใจคุณภาพและราคาสมเหตุสมผล ส่วนรายได้อีก15% จากผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์จากภาคเอกชน อาทิ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด (มหาชน), บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน), บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จํากัด (มหาชน), บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จํากัด (มหาชน), บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน) และรายอื่นๆ รวมถึงงานโครงการของภาครัฐ ส่วนรายได้อีก 10% จากร้านค้าและผู้ประกอบการในต่างประเทศ และรายได้จากช่องทางค้าปลีกสมัยใหม่และแพลตฟอร์มออนไลน์โดยมีสินค้ากว่า 3,000 แบบได้รับมาตรฐานสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก
Line @Matichon ได้ที่นี่