SPALI แย้มยอดขาย- รายได้ปีนี้ทะลุเป้า เหตุกำลังซื้อแนวราบ-ยอดโอนโครงการใหม่พุ่ง เล็งเปิดตัวโครงการใหม่ครึ่งปีหลัง 21 โครงการ รวม 20,000 ลบ. มองดอกเบี้ยขาขึ้น-เงินเฟ้อกระทบกำลังซื้อน้อย
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) เปิดเผยในงาน “Opportunity Day” ว่าสำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานปีนี้ บริษัทคาดว่ายอดขายและรายได้จะเติบโตดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากกำลังซื้อโครงการบ้านแนวราบที่ค่อนข้างดีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีโครงการใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จพร้อมขายพร้อมโอนเพิ่มมากขึ้น รวมถึงมีปีนี้บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งแง่ของจำนวนและมูลค่าโครงการมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
โดยยอดขายปีนี้บริษัทตั้งเป้าไว้ประมาณ 28,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 18,216 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตมากกว่า 60% ของเป้าหมายรวม ซึ่งส่วนใหญ่มาจากโครงการแนวราบที่เติบโตค่อนข้างดี ขณะที่แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ (แบงก์) ยังค่อนข้างดี หลังยอดปฏิเสธสินเชื่อปรับตัวลดลง ซึ่งช่วยให้ยอดขายของบริษัทเติบโตและปิดการขายได้ตามเป้าหมาย รวมถึงในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้นจำนวนประมาณ 21 โครงการ มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท
ขณะที่ในส่วนของรายได้ปีนี้นั้น บริษัทตั้งเป้าไว้ประมาณ 29,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกทำได้แล้วกว่า 14,092 ล้านบาท ซึ่งคาดว่ามีโอกาสที่ทั้งปีนี้จะทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังมั่นใจว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์จะเพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา หลังมีโครงการใหม่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนฯในช่วงไตรมาส 3-4/65 จำนวนมาก รวมถึงแนวโน้มยอดขายโครงการแล้วเสร็จพร้อมขายและโอนฯที่ยังดีอย่างต่อเนื่อง
ส่วนด้านงบลงทุนปีนี้ บริษัทเตรียมไว้ประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นงบลงทุนซื้อที่ดินประมาณ 8,000 ล้านบาท และงบก่อสร้างและพัฒนาโครงการใหม่รวม 12,000 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าจะเปิดโครงการใหม่ปีนี้จำนวน 34 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 40,000 ล้านบาท
นอกจากนี้สำหรับสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มขาขึ้นและภาวะอัตราเงินเฟ้อ ยอมรับว่าอาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่เชื่อว่าไม่มากนัก เพราะมองว่าปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ แม้จะเริ่มมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายบ้างแล้ว แต่ยังถือว่าน้อยกว่าที่คาดไว้ ซึ่งประเด็นที่ให้น้ำหนักตอนนี้คืออัตราการปล่อยสินเชื่อของแบงก์ที่มีผลต่อกำลังซื้อมากกว่า