สหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยมา 4 ครั้งแล้ว นับแต่เดือน มี.ค.

ที่มาของภาพ, Press Association

คำบรรยายภาพ,

สหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยมา 4 ครั้งแล้ว นับแต่เดือน มี.ค.

สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจ (BEA) แห่งกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ประกาศตัวเลขจีดีพี “ล่วงหน้า” ประจำไตรมาสที่ 2/2022 ติดลบ 0.9% ขณะจีดีพีในไตรมาสก่อนหน้าติดลบ 1.6%  

ตามหลักเศรษฐศาสตร์นั้น เมื่อจีดีพีติดลบต่อเนื่องสองไตรมาสจะถือเป็นการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (technical recession)  

ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ เคยตกอยู่ในสภาวะเดียวกันช่วง ไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2020

ตัวเลขล่าสุดที่ประกาศออกมานั้นเป็นการประเมินจากแหล่งข้อมูลที่ยังต้องได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติม และจะมีการประกาศตัวเลขจีดีพีอีกครั้งจากข้อมูลที่ครบถ้วนมากขึ้นในวันที่ 25 ส.ค.ที่จะถึงนี้  

ปัจจัยสำคัญที่ฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มาจากการลงทุนภาคเอกชน การลงทุนด้านที่อยู่อาศัย และการใช้งบประมาณภาครัฐที่หดตัว อย่างไรก็ดีภาคการส่งออกทั้งสินค้าและบริการปรับตัวดีขึ้น เช่นเดียวกับรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลที่ปรับตัวดีขึ้น

 รายงานระบุว่า รายได้ส่วนบุคคลอ้างอิงสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีนี้ เพิ่มขึ้น 353,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาสที่สอง เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นในระดับ 247,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาสแรก โดยสาเหตุสำคัญมาจากอัตราค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้น

 อย่างไรก็ดี ระดับเงินออมรวมในไตรมาสที่สองนี้ลดลงมาเหลือ 968,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากไตรมาสแรกที่ 1.02 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ที่มาของภาพ, EPA

คำบรรยายภาพ,

“เราไม่มีทางเลือก” เจโรม พาวเวลล์

ขึ้นดอกเบี้ย

เมื่อ 27 ก.ค. ธนาคารกลางแห่งสหรัฐฯ หรือเฟด ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้ ปรับขึ้นอีก 0.75% ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระหว่าง 2.25% ถึง 2.5%

เฟดได้ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือน มี.ค. เพื่อพยายามควบคุมอัตราเงินเฟ้อ หลังราคาสินค้าสำคัญ เช่น ราคาเชื้อเพลิงและอาหารที่แพงขึ้นเรื่อย ๆ

รายงานหลายฉบับในช่วงไม่กี่เดือนมานี้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของผู้บริโภคที่ลดลง รวมถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัว อัตราว่างงานพุ่งสูง และเศรษฐกิจหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

ผู้สังเกตการณ์หลายคนคาดการณ์ว่า ตัวเลขในสัปดาห์นี้จะแสดงให้เห็นเศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวลงอีกต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2

เจโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด แถลงข่าวยอมรับว่า เศรษฐกิจบางส่วนกำลังชะลอตัวลง และส่งสัญญาณว่าเฟดมีแนวโน้มจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในช่วงหลายเดือนต่อจากนี้ เพื่อควบคุมอัตราดอกเบี้ยที่สูงที่สุดในรอบ 40 ปี

“เศรษฐกิจจะไปต่อไม่ได้ ถ้าราคาสินค้าไม่มีเสถียรภาพ” พาวเวลล์ กล่าว

“เราจำเป็นต้องกดเงินเฟ้อให้ต่ำลง…นี่จึงเป็นมาตรการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”

เงินเฟ้อสหรัฐฯ หนักแค่ไหน

อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ พุ่งสูงถึง 9.1% เมื่อเดือนที่แล้ว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาเชื้อเพลิงและอาหารที่สูงขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าเพดาน 2% ที่เฟดกำหนดไว้ และถือเป็นเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเร็วสุดนับแต่ปี 1981

ในช่วงปี 1981 เฟดต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่า 15% ส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอยยาวนานกว่า 1 ปี

สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 4 แล้ว นับแต่เดือน มี.ค. ถือเป็นการขึ้นดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูงและถี่ จากที่แทบไม่ค่อยขึ้นมากเกิน 2% นับแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 2008

ขึ้นดอกเบี้ย ลดเงินเฟ้อได้อย่างไร

อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เพิ่มขึ้นช่วยควบคุมเงินเฟ้อด้วยการเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมเงิน ผลักดันให้ประชาชนและภาคธุรกิจกู้เงินน้อยลงและใช้จ่ายน้อยลง

ตามทฤษฎีแล้ว นั่นหมายความว่าอุปสงค์ก็จะลดลงตามไปด้วย ทำให้ราคาสินค้าปรับตัวขึ้นช้าลง กิจกรรมทางเศรษฐกิจก็ลดลง

แต่การควบคุมเงินเฟ้อ “ไม่ได้หมายความว่าสหรัฐฯ จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย เราไม่ต้องทำถึงขั้นนั้น” พาวเวลล์ เสริม

ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ เตือนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย  บริษัทด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง ที่เคยได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมที่ต่ำในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ได้ประกาศลดพนักงาน หรือชะลอการจัดซื้อจัดจ้าง

ปิแอร์-โอลิวิเอร์ เการินชาส ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของไอเอ็มเอฟ ยอมรับว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ และของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก “ไม่มีทางเลือกอื่น” นอกเสียจากขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ช่วงเดือนที่ผ่านมา ธนาคารกลางแห่งยุโรป หรืออีซีบี ได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 11 ปี ส่วนธนาคารกลางแห่งอังกฤษได้ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว เช่นเดียวกับอีกหลายสิบประเทศทั่วโลก

ไทยขึ้นดอกเบี้ย 10 ส.ค. นี้ ?

ปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับสูงถึง 7.66% และมีแนวโน้มจะปรับสูงขึ้นอีก ไทยนั้นถือว่าอยู่ในกลุ่มประเทศที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำมาก และปรับอัตราดอกเบี้ยช้าที่สุด โดยยังไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเลยในปีนี้ โดยมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. กำหนดให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5%

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด บอกบีบีซีไทยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ของไทย น่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.50% ในการประชุมวันที่ 10 ส.ค.ที่จะถึงนี้ เนื่องจำนวนการประชุมมีระยะห่าง “เวลาทำอะไรต้องมีนัยสำคัญ”

ดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ 0.25% มาตั้งแต่ 20 พ.ค. 2020 โดยในปีนั้น กนง. มีมติลดดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง ๆ ละ 0.25% เพื่อช่วยลดผลกระทบจากการควบคุมการระบาดของโควิด-19 และเพื่อให้สอดรับกับมาตรการด้านการคลัง การเงินและสินเชื่อของรัฐบาลที่ออกไปก่อนหน้านี้

ถัดจากการแถลงผลประชุมในวันที่ 10 ส.ค. นี้ กนง.จะมีประชุมและแถลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ คือ 28 ก.ย. และ 30 พ.ย.

ดร.จิติพล อธิบายถึงสาเหตุสำคัญของการต้องขึ้นดอกเบี้ยว่า ปัญหาเงินเฟ้อของไทยในปัจจุบันเกิดขึ้นจากราคาพลังงานเป็นหลัก ยิ่งเมื่อไทยเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันและราคาสูงขึ้นถึง 100% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จึงไม่แปลกที่ราคาสินค้าและบริการจะปรับตัวสูงขึ้นด้วย 

เขาอธิบายว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเพราะต้นทุนเช่นนี้ ทำให้การปรับขึ้นดอกเบี้ยของแบงก์ชาติช่วยอะไรมากไม่ได้ เพราะ “ขึ้นไปน้ำมันก็ไม่ลง”

แต่สาเหตุที่แบงก์ชาติจำเป็นต้องขึ้นเพราะหากปล่อยให้ไปโดยไม่ทำอะไรเลย “ก็จะเกิดวิกฤตศรัทธาต่อแบงก์ชาติอีก”