นายพัทธนันท์ พิสุทธิ์วิมล นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตเริ่มกระเตื้องขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา โดยตลาดในประเทศช่วงนี้บ้านระดับราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท หลายโครงการมีอัตราการจองค่อนข้างดี โดยคาดการณ์ว่า ปีนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต น่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 50% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เฉพาะตลาดลักชัวรี่ปีนี้ที่น่าจะมีการซื้อขายประมาณ 2,000 ล้านบาท และปีหน้าคาดว่าอยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป เพราะปกติอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตมีการลงทุน ประมาณ 30,000 ล้านบาทในช่วงก่อนโควิด-19 แต่พอช่วงโควิด-19 ทำให้ลดลงมาเหลือประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาท

นายพัทธนันท์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต แยกเป็นตลาดในประเทศ และตลาดต่างประเทศ ทั้งสองตลาดนี้มีความเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน คือ ตลาดในประเทศ เป็นกลุ่มคนไทยในภูเก็ต ในช่วงนี้ถือเป็นตลาดที่ดีมีคนจองเข้ามามากในบ้านระดับราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท หลายโครงการที่เปิดขายบ้านในระดับราคา 1.99-2 ล้านบาท มีอัตราการจองค่อนข้างดี แต่ตลาดระดับกลางราคาบ้าน 2-3 ล้านบาทขึ้นไปจนถึงระดับ 10 ล้านบาท มีความเคลื่อนไหวน้อย สังเกตได้ว่าตลาดระดับกลางหายไปอย่างชัดเจน

ส่วนตลาดระดับบน ช่วงนี้เป็นช่วงนาทีทองสามารถซื้อบ้านที่มีราคาแพง สามารถต่อรองเงื่อนไขได้ดีกว่าปกติ แต่ต้องดูภาระหนี้ครัวเรือนของคนภูเก็ตว่า มีการนำเงินในอนาคตมาใช้มากน้อยเพียงใด และมีความสามารถทยอยชำระหนี้คืนได้หรือไม่ คาดว่าสัญญาณการซื้อจะกลับมากระเตื้องขึ้นในช่วงปลายปีนี้ หลังจากการเปิดประเทศ และจะดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2566 เป็นต้นไป

สำหรับตลาดต่างประเทศกระเตื้องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในตลาดบ้านและคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป มีตลาดรัสเซีย ยุโรป ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี อเมริกา เข้ามาซื้อชัดเจนมากขึ้น แม้แต่ตลาดคนจีนมีสัญญาณจะกลับมาซื้อเป็นพูลวิลล่าหรือเป็นลักชัวรี่มากขึ้น แต่ตอนนี้คนจีนไม่สามารถบินมาได้ ถ้าจีนมีการเปิดประเทศเชื่อว่าหลายโครงการขายไปแล้วยังติดปัญหาน่าจะดีขึ้นในกลุ่มคอนโดมิเนียม หรือวิลล่า ที่เน้นตลาดต่างชาติเพิ่มชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า

ทั้งนี้ ปัจจัยที่เอื้อต่อการเข้ามาซื้อบ้านในภูเก็ตตอนนี้ คือ สถานการณ์ความไม่สงบของสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงยุโรป และสหรัฐอเมริกา มีปัญหาสงคราม ทำให้เชื้อเพลิงที่มีราคาแพงมาก สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่อาจจะส่งผลกระทบกับประเทศไทยในเรื่องต้นทุนการผลิต แต่ในภาคการท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์ มองว่าเป็นเชิงบวก เพราะตลาดกลุ่มนี้จะมองหาบ้านหลังที่สอง ที่จะพักผ่อนช่วงหน้าหนาวจริงจังมากขึ้นกว่าเดิม และถือเป็นตลาดที่มีความหวังสามารถสร้างรายได้ให้กับภูเก็ตเป็นหลัก