ปฏิเสธไม่ได้ว่า “พีระพงศ์ จรูญเอก” ใช้เวลาสร้างอาณาจักรออริจิ้นให้เติบใหญ่แข็งแรง และเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 7 ปี สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการบริหารจัดการและประสบการณ์ที่เรียนรู้มา
วันนี้ตามมาแกะรอย ORI กับ “พีระพงศ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ที่เติบโตมาจากพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม ก่อนจะสยายปีกสู่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ผ่านบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI และผลักดันเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้สำเร็จเมื่อปลายปี 64 และตามมาด้วย บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีกราย
*** เปิดแผนใหญ่ ORI ดันลูกเข้าตลาดหุ้น
กลุ่ม ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย ซึ่งที่ผ่านมามีการพัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 112 โครงการ ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก และ ธุรกิจบริการ เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน
หัวเรือใหญ่ ORI ได้ประกาศแผนใหญ่ ทยอยส่งบริษัทย่อยทั้งหมด 8 แห่ง เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปีละ 1 แห่ง คาดจะครบทั้งหมดภายในปี 71 ซึ่งปัจจุบันเข้าตลาดหุ้นไปแล้ว 2 แห่ง จึงเหลืออีกจำนวน 6 แห่ง ดังนั้นจะทำให้ในช่วง 4 ปีข้างหน้า ORI มีจำนวนบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มากที่สุดในตลาดหุ้น หรือราว 9 แห่ง พร้อมวางเป้าหลังทุกบริษัทที่เข้าจดทะเบียนจะกลายเป็นอาณาจักรที่มีมูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) รวมกันมากกว่า 1 แสนล้านบาท จากปัจจุบัน 3 บริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้น ได้แก่ ORI-BRI-PRI มีมาร์เก็ตแคปรวมกัน 43,000 ล้านบาท
*** “วัน ออริจิ้น” เรือธงกลุ่ม ORI ตัวต่อไป ท่องเที่ยวฟื้นหนุนธุรกิจโรงแรม
ปี 66 บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงแรม อยู่ในแผนที่จะขายหุ้นสามัญให้ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเตรียมยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ตามแผน Spin-Off ในไตรมาส 2/66
ภาคท่องเที่ยวน่าจะฟื้นแรงในปีหน้า จากปี 65 ที่คาดจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทย 12 ล้านคน และ ปี 66 จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เป็น 24 ล้านคน จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก และในอีก 2-3 ปี จะเพิ่มเป็น 40 ล้านคน ซึ่งธุรกิจโรงแรมจะได้รับอานิสงส์เต็มที่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ถ้ากลับมามีความชัดเจนมากขึ้น จะช่วยธุรกิจโรงแรมคึกคัก ซึ่งนักลงทุนที่ได้ IPO “วัน ออริจิ้น” จะได้รับการเติบโตตรงนี้ด้วย
บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income) เช่น โรงแรม พื้นที่ค้าปลีก สำนักงานให้เช่า โครงการมิกซ์ยูส
นอกจากนี้หลังการเข้าตลาดหุ้นของ “วัน ออริจิ้น”ทำให้มาร์เก็ตแคปของกลุ่มรวมพุ่งเป็น 60,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่เคยประกาศไว้ภายในปี 66
*** ส่งบริษัทลูกอีก 5 ราย ขาย IPO
กลุ่ม ORI มีแผนผลักดันบริษัทลูกอีก 5 บริษัทเข้าตลาดหุ้น โดยไทม์ไลน์เบื้องต้น ได้แก่ ปี 67 เตรียมส่งบริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม เช่น คลังสินค้า โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรมครบวงจร
ปี 68-71 เป็นช่วงเวลาของบริษัทในเครืออีก 4 บริษัท ที่เตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ บริษัท ยูไนเต็ด โปรเจคต์ แมเนจเมนท์ จำกัด (UPM) ดำเนินธุรกิจบริหารงานโครงการ และบริหารงานก่อสร้าง ซึ่งอยู่ในเครือ PRI ,บริษัท วายด์ อินทีเรีย จำกัด บริษัทย่อยในเครือซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการออกแบบและตกแต่งภายในแบบครบวงจร ,บริษัท อูโน่ เซอร์วิส จำกัด (UNO Service) ผู้ให้บริการงานทำความสะอาดแบบครบวงจร รวมถึงบริการงานบำรุงรักษา และตกแต่งห้องเพื่อการปล่อยเช่า ในเครือ ORI และบริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด ธุรกิจการแพทย์ ดำเนินกลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ
สำหรับช่วงเวลายังไม่ได้กำหนดที่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมที่ได้รับความนิยมในช่วงปีนั้นๆ รวมถึงผลประกอบการของแต่ละบริษัทตามเกณฑ์หรือไม่ ซึ่งบางบริษัทยังต้องรอ
บริษัทยังคงเดินแผนจะเติบโตด้วยทุน เติบโตด้วยการ Spin-off บริษัทย่อยเข้าตลาดหุ้น เพื่อสร้างอิสระในด้านการบริหารนโยบายจากบริษัทแม่ และช่วยเพิ่มโอกาสช่องทางการเติบโตให้กับบริษัทลูก ซึ่งบริษัทย่อยที่ถูก Spin-off จะได้ประโยชน์จากการระดมทุนได้หลายช่องทาง รวมถึงสามารถนำเงินจาก IPO ไปพัฒนาโครงการ ขยายธุรกิจ ชำระหนี้เงินกู้ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่ง BRI หลังเข้าตลาดผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ PRI คาดปีหน้าจะเติบโตเท่าตัว
นอกจากนี้ บริษัทย่อยจะมีภาพลักษณ์ ชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักมากขึ้นในฐานะบริษัทจดทะเบียน
*** ORI ปี 66 ตั้งเป้าทุกด้านแบบ All Time High
กลยุทธ์การเติบโตของ ORI ในปี 66 ตั้งเป้าทุกด้านแบบสูงเป็นประวัติการณ์ (All Time High) โดยตั้งเป้ากำไรโต 15% จากปีนี้ ยอดขายเติบโต 15-20% หลังจากปี 65 ทำผลงานทุกด้านเติบโตแบบสร้าง New High
โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่กว่า 40 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 50,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20% จากปีนี้ที่เปิด 31 โครงการ มูลค่ารวม 42,000 ล้านบาท ขณะที่งานในมือ (Backlog) อยู่กว่า 42,000 ล้านบาท All Time High จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า (66-68) คาดรับรู้ปีละ 17,500-18,000 ล้านบาท
วางงบซื้อที่ดินเพิ่มเป็น 8,000 ล้านบาท สูงกว่าปีนี้ที่ 7,000 ล้านบาท เน้นพื้นที่เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ พื้นที่พัฒนารีสอร์ทในจ.ภูเก็ต หัวหิน พัทยา เน้นเมืองท่องเที่ยว เนื่องจากการท่องเที่ยวจะเป็นตัวนำประเทศ และ ORI ยังไม่ค่อยมีคอนโดฯในเมืองท่องเที่ยว ในปี 66 น่าจะได้เห็นมากขึ้น โดยไปคู่กับโครงการมิกซ์ยูส มีโรงแรม พื้นที่คอมมูนิตี้มอลล์ รวมทั้งขยายไปพื้นที่ที่ไปปักหมุดไว้แล้วและเตรียมเปิดโครงการใหม่ จ.อยุธยา ขอนแก่น อุดรธานี ระยอง ชลบุรี
บริษัทยังคงเป้าหมายรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ 36-37% อัตรากำไรสุทธิที่ 23-24% สูงกว่าอุตสาหกรรมที่ส่วนใหญ่อยู่ที่ 10% เกิดจากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้ดี ทั้งค่าใช้จ่ายในการขายการตลาด
*** เดินหน้าหาพันธมิตร
การหาพันธมิตรรายใหม่ เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการต่อยอดธุรกิจ ซึ่งมีพันธมิตรต้องการเข้ามาขอร่วมธุรกิจต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีสรุป ซึ่งการพันธมิตรที่มีความชำนาญจะเสริมซึ่งกันและกันได้ทั้งในและต่างประเทศเพื่อพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มมากขึ้น
“มองว่ากลยุทธ์การร่วมทุนจะเป็นอีกตัวแปรสำคัญในการสนับสนุนความสำเร็จในการเพิ่มรายได้และต่อยอดธุรกิจตามเป้าหมายระยะยาวของบริษัท”
*** ตลาดอสังหาฟื้นตัวดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโด
หลังสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลาย ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวได้ดี และมองภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในปี 66 ธุรกิจคอนโดมิเนียมจะเติบโต 30-40% จากฐานต่ำในปี 65 คาดยอดขายน่าจะกลับมา 2 แสนล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อนโควิด
ส่วนโครงการแนวราบคาดจะทรงตัว เพราะช่วงโควิดยอดขายยังเติบโตปีละ 3-4% เป็นเม็ดเงิน 2.5 แสนล้านบาทต่อปี ถือว่าอยู่ระดับสูง หลังการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาซื้อบ้านแนวราบมากขึ้น
ส่วนดอกเบี้ยขาขึ้น มองมีผลกระทบต่อกำลังซื้อเล็กน้อย เนื่องจากเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว ทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น ดังนั้นเศรษฐกิจปี 66 ที่คาดว่าจะขยายตัว 4% ทำให้คนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอยู่ดี มีการตัดสินใจได้ จึงคาดว่าจะเป็นปีที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวดีมาก
สำหรับปัจจัยกังวล เป็นเรื่องการเลือกตั้งใหญ่ในประเทศ ซึ่งทุกคนจะยอมรับผลเลือกตั้งหรือไม่ ส่วนปัจจัยต่างประเทศ น่าจะผ่านเรื่องที่เลวร้ายสุดมาแล้ว เช่นสงครามรัสเซีย-ยูเครนน่าจุดพีคแล้ว ไม่น่าจะมีความรุนแรงมากไปกว่านี้