“บล.ไทยพาณิชย์” ประเมินเอฟเฟ็กต์สงคราม “รัสเซีย-ยูเครน” ดันต้นทุน “พลังงาน-วัตถุดิบ” พุ่งกดดันกำไรหุ้นเรียลเซ็กเตอร์ เผย 7 กลุ่มเสี่ยงถูกปรับลดประมาณการกำไรปี’65 ลง 5-10% หลังประกาศงบฯไตรมาสแรกจบ
นางสาวณัฏฐ์วริน ไตรภพสกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากความเสี่ยงสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ผลักดันให้ต้นทุนพลังงานและต้นทุนการผลิตวัตถุดิบต่าง ๆ ปรับตัวสูงขึ้นนั้น
- ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 2 พฤษภาคม 2565
- กทม. ประกาศคำสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว ฉบับ 52 มีผล 1 พ.ค.
- อนุทินเปิดตัวภรรยาคนที่ 3 หลังหย่าแจก 50 ล้าน จ่ายเงินสดรายเดือนตลอดชีพ
ประเมินว่าจะกระทบต่องบการเงินไตรมาส 1/2565 ของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มเรียลเซ็กเตอร์ โดยต้องระวังกำไรไตรมาส 1 จะออกมาชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY)
“งบฯ Q1 กลุ่มเรียลเซ็กเตอร์ได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยจากต้นทุนพลังงาน หรือต้นทุนการผลิตวัตถุดิบต่าง ๆ ที่มีการปรับขึ้น อย่างเช่น กลุ่มเครื่องดื่ม ที่ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นราคาอะลูมิเนียมที่ใช้เป็นแพ็กเกจจิ้งสูงขึ้น
ซึ่งจะกดดันมาร์จิ้น (กำไร) กลุ่มบรรจุภัณฑ์หรือกระดาษที่ได้รับผลกระทบจากราคาเศษกระดาษที่มีใยที่ต้นทุนสูงขึ้น รวมถึงเชื้อเพลิงถ่านหินในการเผาที่พุ่งขึ้น ส่วนกลุ่มวัสดุก่อสร้างก็แบกต้นทุนมาร์จิ้นที่สูง ในขณะที่อำนาจในการปรับขึ้นราคามีต่ำ และกลุ่มขนส่งพัสดุ อาทิ บมจ.เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) อาจจะเจอผลกระทบในแง่มูลค่ากำไร”
ทั้งนี้ แนะนำเพิ่มความระวังลงทุนหุ้นกลุ่มขนส่ง วัสดุก่อสร้าง ยานยนต์โรงไฟฟ้า เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์ และอสังหาริมทรัพย์ เพราะหลังจากประกาศงบฯไตรมาส 1 ออกมาแล้วจะเป็นกลุ่มที่มีโอกาสถูกตลาดปรับลดประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายลงจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น
โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ตลาดได้มีการปรับกำไรลงมาบ้างแล้วแต่ยังสะท้อนไม่หมด โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2565 เป็นต้นไปที่รัฐบาลยกเลิกการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ทำให้คาดว่าอาจเห็นการปรับกำไรลงอีก 5-10%
นางสาวณัฏฐ์วรินกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ดีกำไรหลายอุตสาหกรรมยังอยู่ในทิศทางที่ดี โดยกลุ่มที่จะเติบโต YOY และโตจากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) ได้ก็คือ กลุ่มพลังงาน ซึ่งได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ค่าการกลั่นและกำไรจากสต๊อกน้ำมัน ตามมาด้วยกลุ่มค้าปลีกที่ยังเติบโตดีมาจากฐานต่ำปีที่แล้ว
และประกอบกับภาครัฐมีการคลายมาตรการล็อกดาวน์ เพราะผลกระทบจากโควิดสายพันธุ์โอมิครอนจำกัดในแง่ของจำนวนผู้เสียชีวิต ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมา รวมถึงผู้ประกอบการมีการปรับขึ้นราคาสินค้าตามเงินเฟ้อด้วย ทำให้ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ปรับตัวขึ้นมาโดยเฉพาะกลุ่มอาหารสด
ถัดมาคือกลุ่มโรงพยาบาลที่เริ่มเห็นว่ามีผู้ป่วยทั้งไทยและต่างประเทศมาใช้บริการรักษาโรคที่ไม่ใช่โควิดมากขึ้นเช่น โรคความดัน โรคหัวใจ และโรคซับซ้อนรุนแรง ประกอบกับรายได้การรักษาโรคโควิดในไตรมาส 1 ยังออกมาดี แต่จะอยู่ในหมวดค่ารักษาผู้ป่วยนอก (OPD) มากกว่า เพราะค่ารักษาผู้ป่วยใน (IPD) อาจจะชะลอลงเพราะการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนไม่จำเป็นต้องแอดมิต
ส่วนอีกกลุ่มเป็นสินค้าเกษตร จากราคาปาล์ม ยางพารา แป้งมันสำปะหลัง รวมถึงราคาเนื้อสัตว์ในประเทศโดยเฉพาะเนื้อไก่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากภาพอุปทานที่มีการตึงตัว ในขณะที่อุปสงค์ดีขึ้นจากการคลายล็อกดาวน์
ด้าน 2 เซ็กเตอร์ที่เติบโตได้ดีเมื่อเทียบแบบ YOY แต่อาจจะลดลงในแง่ QOQ ตามฤดูกาล คือ กลุ่มโรงแรม เพราะปกติไตรมาส 4 เป็นไฮซีซั่นของกลุ่ม ดังนั้น ไตรมาส 1 กำไรอาจจะลดลงไปบ้าง
แต่น่าจะโต YOY ได้ค่อนข้างดี จากการที่คนอัดอั้นมานานอยากออกไปเที่ยว รวมถึงกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เติบโต YOY จากฐานที่ต่ำปีก่อนและจะมีการบันทึกรายได้งานในมือ (backlog) ของหลายบริษัทที่เข้ามาในไตรมาส 1 ของปีนี้ด้วย แต่ในแง่ QOQ จะลดลง เพราะไตรมาส 4 เป็นฤดูกาลของการโอน
สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 2 นางสาวณัฏฐ์วรินกล่าวว่า ถ้าราคาน้ำมันทรงตัวเกิน 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล กลุ่มพลังงานอาจมีอัพไซด์ในการปรับกำไรขึ้น ถัดจากนั้นกลุ่มค้าปลีกก็น่าจะยังดีอยู่จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาแล้ว ด้านกลุ่มโรงพยาบาลยังเห็นการเติบโต YOYแต่อาจลดลง QOQ เพราะเป็นโลว์ซีซั่น ส่วนกลุ่มอสังหาคาดโตได้ดี YOY จากฐานต่ำ แต่ QOQ อาจทรง ๆ ในขณะที่กลุ่มเครื่องดื่มน่าจะกลับมาโตได้ดีทั้ง YOYและ QOQ เพราะตลาดส่งออกน่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวและเป็นไฮซีซั่นช่วงหน้าร้อน ด้านกลุ่มยานยนต์ มีเดีย และไอซีที น่าจะยังทรงตัว โดยอาจจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังมากกว่า
ไม่พลาดข่าวสำคัญ เจาะลึกทุกประเด็น
เพิ่มเราเป็นเพื่อนทาง @prachachat