คดีโกงเงินวัดบวร ที่กองปราบฯกำลังสอบสวนขยายผลในวันนี้ เป็นที่สนใจในวงกว้าง
เนื่องจากวัดบวรฯ เป็นวัดที่มีชื่อเสียง มีบทบาทสำคัญในแวดวงคณะสงฆ์ และยังมีชื่อสมเด็จพระวันรัตฯ ปรากฏในข่าวด้วย
นั่นทำให้ต้องพูดชัดๆ ในคดีนี้ว่า ไม่ใช่คดี “พระโกง”แต่เป็นคดีที่มีคน “โกงวัด” และ “โกงพระ”
1. หลังจากสมเด็จพระวันรัต อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรฯ มรณภาพ ปรากฏข่าวว่า มีการยักยอกเงินจากบัญชีของวัดบวรนิเวศวิหารและวัดสาขา นำไปใช้ส่วนตัวเป็นจำนวนมาก หลักร้อยล้านบาท
ตรวจสอบทราบว่า กองบังคับการปราบปรามได้เข้ามาทำหน้าที่สอบสวนทำสำนวนคดี
พบว่า มีการยักยอกเงินบัญชีของวัดเกี่ยวกับการบูรณะวัดบวรนิเวศและวัดสาขาจริง
พระวันรัต มิใช่ผู้กระทำผิด
บุคคลที่ก่อเหตุ เป็นลูกศิษย์คนสนิทรายหนึ่ง ที่มีความใกล้ชิดกับสมเด็จพระวันรัต และเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นไวยาวัจกร
ตำรวจจับกุมตัวมาได้เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่ผ่านมา ที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
2. จากการตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหา พบทรัพย์สินหลายรายการ อาทิ รถยนต์หรู ยี่ห้อเบนลี่ย์ ยี่ห้อปอร์เช่ ยี่ห้อวอลโว่ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู ยี่ห้อเล็กซัส, เงินสด, เงินฝากในบัญชี, อสังหาริมทรัพย์, กระเป๋าแบรนด์เนม, พระเครื่องทองคำ รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท
เจ้าหน้าที่ได้ประสานงานไปยัง ปปง. เพื่อดำเนินการต่อไป
3. ย้ำ พระวันรัต มิใช่ผู้กระทำผิด ไม่ได้รู้เห็นกับการกระทำผิด
ทราบว่า ผู้ต้องหาอาศัยช่วงที่สมเด็จพระวันรัตอาพาธรักษาตัวโรคมะเร็งอยู่โรงพยาบาลจุฬาฯ ปลอมแปลงเอกสารลายเซ็น และการทำธุรกรรมอื่นๆ โยกย้ายทรัพย์สินไปเป็นของตัวเองกว่า 190 ล้านบาท และอาจจะมีมากกว่านี้ ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติม
เบื้องต้น ตำรวจแจ้ง 4 ข้อหาหนัก ประกอบด้วย ฉ้อโกง,ลักทรัพย์, ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม และ ฟอกเงิน
ผู้ต้องหาได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา อ้างว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่สมเด็จพระวันรัตมอบให้ไว้ใช้จ่ายส่วนตัว ไม่ได้ฉ้อโกงมา ซึ่งขัดแย้งกับหลักฐานที่ทางวัดมอบให้กับตำรวจ โดยหลักฐานชี้ชัดว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด เพราะโอนจากบัญชีวัดมาเข้าบัญชีส่วนตัวของผู้ต้องหา
4. รายงานจากชุดสืบสวนระบุว่า ปลายเดือนพฤศจิกายน 2564 ผู้ต้องหาได้ใช้อุบายหลอกลวงให้สมเด็จพระวันรัตลงลายมือชื่อในใบถอนเงิน จากนั้นได้นำใบถอนเงินฉบับดังกล่าวมาเขียนจำนวนเงินตามที่ตนเองต้องการ แล้วนำไปแสดงต่อพนักงานธนาคารแห่งหนึ่งเพื่อถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของวัดวชิรธรรมาราม จ.พระนครศรีอยุธยา
ต่อมา ต้นเดือนมกราคม นายเนย ยังคงใช้อุบายหลอกลวงให้สมเด็จพระวันรัตลงลายมือชื่อในใบถอนเงิน แล้วนำมาเขียนจำนวนเงินตามที่ตนเองต้องการ แต่คราวนี้ มอบหมายให้ผู้ใกล้ชิดของสมเด็จพระวันรัตอีกคนหนึ่งเป็นผู้นำใบถอนเงินฉบับดังกล่าวไปแสดงต่อพนักงานธนาคาร เพื่อถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของวัดวชิรธรรมาราม แล้วให้ซื้อแคชเชียร์เช็ค สั่งจ่ายให้แก่ผู้ต้องหา ก่อนที่ฝากเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ต้องหา
ต่อมา วัดวชิรธรรมาราม ได้ตรวจพบการทุจริตของผู้ต้องหา จึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนกองปราบฯ เพื่อให้ดำเนินคดีเมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา หลังจากที่เจ้าอาวาสวัดวชิรธรรมารามได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนกองปราบฯแล้ว
ทางวัดบวรนิเวศวิหาร เชื่อว่า ผู้ต้องหาน่าจะทุจริตเอาเงินหรือทรัพย์สินอื่นใดของวัดบวรนิเวศวิหารไปด้วย พระธรรมวชิรญาณรักษาการเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร จึงมีคำสั่งให้ตรวจสอบทรัพย์สินของสมเด็จพระวันรัต อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารด้วย จากการตรวจสอบของพระธรรมวชิรญาณ พบว่า สมเด็จพระวันรัตได้เปิดบัญชีเงินฝากและบัญชีที่เกี่ยวข้องกับวัดบวรนิเวศวิหาร ไว้กับธนาคารจำนวนหลายบัญชี ซึ่งเมื่อประมาณปลายเดือนตุลาคม 2564 ผู้ต้องหาได้นำสมุดบัญชีเงินฝากจำนวนหลายเล่ม และบัตรประจำตัวประชาชนของสมเด็จพระวันรัต พร้อมโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหามามอบให้บุคคลใกล้ชิดของสมเด็จพระวันรัตอีกคนหนึ่ง แล้วสั่งการให้บุคคลดังกล่าวนำไปติดต่อกับพนักงานธนาคาร เพื่อเปลี่ยนแปลงข้อมูลเครื่องโทรศัพท์ที่ใช้ในการทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากนั้นผู้ต้องหาได้ใช้โทรศัพท์มือถือของตนเองทำธุรกรรมโอนเงินจากบัญชีเงินฝากของสมเด็จพระวันรัต และบัญชีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัดบวรนิเวศวิหาร มายังบัญชีเงินฝากของตนเอง เป็นเหตุให้วัดวชิรธรรมารามได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน 80 ล้านบาทเศษ และวัดบวรนิเวศวิหาร ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน 110 ล้านบาทเศษ รวมความเสียหายของทั้งสองวัด เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 190 ล้านบาทเศษ โดยวัดบวรนิเวศวิหารได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในวันที่
1 เมษายนที่ผ่านมา
5. จากการตรวจสอบ ทราบว่า ผู้ต้องหารายนี้ เป็นลูกศิษย์คนสนิทสมเด็จพระวันรัต
ลูกศิษย์วัดวชิรธรรมารามเคยเห็นเนย และคนติดตามเดินทางมากับสมเด็จพระวันรัต ต่างตกใจว่ากลายเป็นงูเห่า แอบลักทรัพย์สิน
โดยวัดวชิรธรรมาราม ถือว่าเป็นวัดที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นมาใหม่ เมื่อปี 2560 เป็นวัดสาขาของวัดบวรนิเวศวิหาร จัดตั้งขึ้นโดยดำริของสมเด็จพระวันรัต มีหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมสนับสนุน พื้นที่สร้างวัดกว่า 200 ไร่ เป็นพื้นที่ของลูกศิษย์ที่ซื้อถวายมาสร้างวัด
ในช่วงที่ผ่านมา วัดได้มีการบูรณะก่อสร้างพุทธสถานต่างๆ ในวัด เช่น โบสถ์ วิหาร กุฏิ จึงต้องใช้เงิน เรื่องแดงขึ้นมาช่วงที่พระวันรัตอาพาธ เมื่อเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันต้องการเบิกเงินเพื่อนำมาสร้างพุทธสถานในวัด เงินในบัญชีหายเกือบหมด จึงทำเรื่องสอบถามไปยังวัดบวรนิเวศ จนนำมาสู่การตรวจสอบทรัพย์สินบัญชีต่างๆ ของวัดวชิรธรรมาราม กระทั่งสืบทราบว่าผู้ต้องหานั้น เป็นผู้ยักยอกเงินในบัญชีออกไปใช้เพื่อการส่วนตัว
นับเป็นคดีที่น่าสนใจติดตามบทจบอย่างยิ่ง
สารส้ม