คอลเลกชันอินเทรนด์มันต้องมี ซุปเปอร์คาร์-สินค้าลักชัวรี กำลังซื้อเศรษฐียังแรงไม่มีตก

ส่งหน้านี้ให้เพื่อน

ชฎาทิพ จูตระกูล

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ เจ้าของสยามพารากอน, ไอคอนสยาม ฯลฯ

แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดกว่า 2 ปีที่ผ่านมาจะไม่มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศจากข้อจำกัดในการเดินทาง แต่สินค้ากลุ่มลักชัวรีแบรนด์ยอดขายกลับเติบโตขึ้นมากถึง 2 เท่าตัว เป็นยอดขายจากลูกค้าคนไทยท่วมท้นเกินความคาดหมาย

นักช็อปไทยมีกำลังซื้อสูงมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบแบรนด์เนม ส่งผลให้กลุ่มลักชัวรีแบรนด์ที่รวมแบรนด์เนมชั้นนำของโลกไม่ว่าจะเป็นแบรนด์แฟชั่น เครื่องแต่งกาย นาฬิกา เครื่องประดับ ในสยามพารากอนและไอคอนสยาม มียอดขายเติบโตในอัตราสูงมากเป็นอันดับต้นๆของโลก

เหตุผลที่สำคัญก็คือหลายแบรนด์ดังระดับโลก มีสต๊อกสินค้าใหม่ๆ ที่มากกว่าร้านในฮ่องกงและสิงคโปร์ รวมทั้งมีการเปิด Pop-up Store ที่มีความพิเศษในการขายความเป็นลิมิเต็ดและคอลเลกชันพิเศษและที่มีเพียงชิ้นเดียวในประเทศไทย ทำให้แบรนด์ดังๆ เร่งขยายพื้นที่สโตร์เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวที่สยามพารากอน ไอคอนสยาม และสยามพรีเมี่ยม เอาท์เล็ต เตรียมเปิดต้นปีหน้ารวมทั้ง Pop-up Store ในไอคอนสยาม ขณะนี้มียอดจองพื้นที่เพื่อเปิด Pop-up Store ทุกเดือนและเต็มตลอดจนถึงปีหน้า

ในส่วนของสยามพิวรรธน์เอง ยังได้หากลยุทธ์และโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เปิดแพลตฟอร์ม ONESIAM SuperApp เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นยอดการจับจ่ายใช้สอย เข้าถึงการขยายตลาดสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ การสร้างอีโคซิสเต็มร่วมกันกับศูนย์การค้าในเครือทั้งหมดการผนึกกำลังกับพันธมิตร ร้านค้า และคู่ค้าและการปรับแผนการตลาดออกไปทุกช่องทาง ทุกแพลตฟอร์มตลอดทั้งปี เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำที่ครองฐานกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงมากที่สุดในประเทศไทย.

ณรัณ ธรรมาวรานุคุปต์

กรรมการผู้จัดการ บริษัทพีเอ็มที เดอะ อาวร์ กลาส (PMT THE HOUR GLASS) ตัวแทนและผู้จัดจำหน่ายนาฬิกา Rolex, Patek Philippe, F.P. Journe, Panerai และ Hublot ฯลฯ

ยอดขายของเราเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักในช่วงโควิด 2 ปีที่ผ่านมา เป็นการเติบโตตามตลาดอันสืบเนื่องมาจาก 1.คนเดินทางไปไหนไม่ได้ แต่ก็ยังอยากให้รางวัลตัวเองด้วยการซื้อสินค้าหรูหรา ทำให้ยอดขายสินค้าราคาแพงเติบโตขึ้นเป็นเทรนด์ทั่วโลก ตั้งแต่ยอดขายรถหรู นาฬิกาแพง แม้กระทั่งยอดขายแบรนด์เนมของ LVMH ซึ่งเติบโตสูงเป็นประวัติการณ์ 2.ผลกระทบจากโควิดที่มีต่อห่วงโซ่การผลิตหรือ Supply Chain ทำให้ผลิตสินค้าได้ไม่เพียงพอ พอผลิตได้น้อยลงแต่ความต้องการเท่าเดิมหรือมากขึ้น ก็มีผลให้สินค้าราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะในตลาดมือสอง

“สำหรับพีเอ็มที ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายนาฬิกาหรูในประเทศไทยและอาเซียน ที่ยอดขายเราสามารถเติบโต 2 หลัก มาจากการที่ลูกค้าไม่สามารถเดินทางได้ จึงหันมาซื้อนาฬิกาหรูกับตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย จากปกติบินไปซื้อเมืองนอก ซึ่งตรงนี้ตัวแทนและผู้จัดจำหน่ายทุกรายในประเทศเติบโตในระดับใกล้เคียงกัน

ตลาดที่ขยายใหญ่ขึ้นยังมาจากลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เป็นเศรษฐีคริปโต ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแล้วได้ผลตอบแทนสูง พวกนี้นำสภาพคล่องบางส่วนมาซื้อนาฬิกาหรูเพื่อการสะสม ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีลูกค้ากลุ่มใหม่ๆที่ไม่เคยสนใจซื้อหานาฬิกาแพง หันมาสนใจมากขึ้นด้วย ด้วยปัจจัยทั้งหมดทำให้สินค้ามีน้อยลง สวนทางกับความต้องการ

“สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือ หลายยี่ห้อไม่มีของหรือต้องรอ โดยเฉพาะในแบรนด์ยอดนิยมที่มีความต้องการสูง ทำให้ตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ผ่านมา นาฬิกาหลายแบรนด์หรูทยอยปรับราคาขึ้นแล้ว 5-25% จากที่ตรึงราคามาระยะเวลาหนึ่งแล้ว เนื่องจากราคาเพชร ทองที่ปรับตัวสูงขึ้น ค่าแรง เงินเฟ้อ ทำให้ต้นทุนผลิตก้าวกระโดด”.

สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย)หรือ MGC-ASIA ผู้จำหน่ายรถยนต์ โรลส์-รอยซ์, แอสตัน มาร์ติน, มาเซราติ, เรือยอชต์ อะซิมุท (AZIMUT), บีเอ็มดับเบิลยู ฯลฯ

ตลาดรถยนต์ระดับพรีเมียมในไทย รวมทั้งเรือยอชต์ ยังมียอดจองเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บางรุ่นบางยี่ห้อ ต้องรอคิวถึงปีหน้า ปรากฏการณ์นี้ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายของผู้ผลิตทั้งรถยนต์และเรือยอชต์ที่จะเน้นการทำตลาดแบบให้เกิดภาวะของไม่พอกับความต้องการหรือ “ขาด ตลาด” ซึ่งเป็นปกติของผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม ต้องให้มีดีมานด์มากกว่าซัพพลาย จึงได้เห็นภาพว่าสินค้าเหล่านี้ยังไปได้ดี

ขณะเดียวกันในฝั่งของ ผู้บริโภคหรือกลุ่มลูกค้า ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจทำให้โตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งมาจากคนรุ่นใหม่ได้เข้ามารับช่วงดูแลกิจการสืบแทนรุ่นพ่อ ต้องเข้ามาต่อยอด ขยายให้ใหญ่ขึ้น คนรุ่นใหม่พวกนี้จะกล้าลงทุน กล้าจับจ่าย จึงได้เกิดแรงซื้อสินค้าพรีเมียม โดยเฉพาะรถยนต์หรูและเรือยอชต์มากขึ้น โดยหลายคนมองว่าเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต จึงได้เพิ่มความคึกคักในตลาดกลุ่มนี้

นอกจากนั้น การเข้าถึงแหล่งเงินจากโลกออนไลน์ ซึ่งสามารถทำกำไรได้มากมายอย่างรวดเร็วในเวลาพริบตา ยังทำให้คนกลุ่มนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่กล้าฉีกกฎเกณฑ์ ซื้อสินค้าพรีเมียมอย่างรถยนต์หรูหรือเรือยอชต์ได้ทันที ไม่เสียเวลาคิดมาก เป็นเหตุให้ปีที่ผ่านมา นอกจากรถบีเอ็มดับเบิลยู รถมินิ ที่ไปได้ดีแล้ว ในส่วน ของแบรนด์มาเซราติและแอสตัน มาร์ติน รวมทั้งโรลส์-รอยซ์ และมอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด และฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ก็ขายดีอย่างมาก และที่น่าสังเกต คือมีลูกค้ากลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูได้เขยิบมาซื้อมาเซราติมากขึ้น ด้านเรือยอชต์ อะซิมุท สำหรับแล่นในทะเล ก็มียอดจองคึกคัก แถมยังมีผู้บริโภค ถามหาเรือยอชต์สำหรับวิ่งในแม่น้ำ หรือริเวอร์โบ๊ต ซึ่งทางกลุ่มก็เตรียมจะเปิดตัวเรือยอชต์สำหรับแล่นในแม่น้ำ คือ Chris-Craft ในเร็วๆนี้รับตลาดกลุ่มนี้ที่กำลังเติบใหญ่

และเพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มนี้ กลุ่ม MGC-ASIA จึงได้จับมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ จัดตั้งบริษัท ALPHA X ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อ, ลีสซิ่ง และให้สินเชื่อรีไฟแนนซ์ สำหรับรถยนต์หรู, รถจักรยานยนต์ (Big Bike) รวมไปถึงเรือยอชต์และริเวอร์โบ๊ตสุดหรู ซึ่งปรากฏว่าไปได้ดีมียอดปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในทุกเดือน.

กิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์

ผู้อำนวยการอาวุโส โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ MQDC

แม้จะเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาด แต่เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซึ่งเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดกว่า 125,000 ล้านบาท และกำหนดสร้างเสร็จภายในปี พ.ศ.2567 ก็สามารถขายไปแล้วกว่า 40% ของจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมด

เดอะ ฟอเรสเทียส์ ประกอบไปด้วยที่อยู่อาศัยทั้งหมด 7 แบบ รวมคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวระดับราคาเริ่มต้นประมาณ 5 ล้านบาท ไปจนถึง 250 ล้านบาท ตัวเลข ณ สิ้นเดือน ม.ค.2565 ทำยอดขายไปแล้ว 17,200 ล้านบาท

หนึ่งในเหตุผลสำคัญน่าจะเป็นการออกแบบที่มุ่งเน้นส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี ผสานธรรมชาติเข้ากับที่พักอาศัย

รูปแบบต่างๆ ตอบโจทย์คนหลากหลายช่วงวัย โดยเฉพาะท่ามกลางการแพร่ระบาด ทำให้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญในเรื่องของสุขภาพมากยิ่งขึ้น.

อุทัย อุทัยแสงสุข

ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

ภาวะเงินเฟ้อที่ในระดับสูง ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีมียอดขายที่ดี กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่พร้อมเข้าอยู่และซื้อด้วยเงินสด โดยมีไลฟ์สไตล์การซื้อที่อยู่อาศัยที่จะเพิ่มมูลค่าในอนาคต

แม้อยู่ในช่วงโควิด กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงจะไม่ได้รับผลกระทบนัก เพราะคนพวกนี้สะสมความมั่งคั่งเอาไว้ยาวนานเป็น 10 ปี เขาอาจมีความลังเลใจ ยังไม่อยากควักเงิน แต่เมื่อไรที่มีสินค้าราคาดี ทำเลดี มีศักยภาพ ภายใต้ต้นทุนเก่า คนพวกนี้จะพร้อมควักกระเป๋าทันที ที่สำคัญต้องเป็นสินทรัพย์ที่เอาชนะอัตราเงินเฟ้อที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นได้เป็นอย่างดีด้วย “ผมมองว่าสิ่งที่เหล่าเศรษฐีมองหาคือสินทรัพย์ที่จะทำให้ความมั่งคั่งของเขางอกเงยมีกำไร โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจยังมีความเปราะบาง ไม่แน่นอน เมื่อก่อนอาจเป็นการซื้อที่ดิน แต่ตอนนี้ถูกเก็บภาษีที่ดินแล้ว การซื้ออสังหาริมทรัพย์หรูในทำเลที่ราคามีแต่จะเพิ่มขึ้น จึงกลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเศรษฐียุคปัจจุบัน”

นั่นทำให้แสนสิริแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่เน้นตลาดบนทำยอดขายในปี 2564 แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 37 ปี

“เรามีโครงการราคาสูงที่ขายได้อย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่าง The Monument ทองหล่อ มีอยู่กว่า 100 ยูนิต ราคาต่ำสุด 20 ล้าน สูงสุด 400 ล้านบาท แค่เปิดแคมเปญอัดโปรโมชันนิดหน่อย เราขายได้หมดภายใน 2 เดือน รวมทั้งห้อง Penthouse ราคาสูงสุด 400 ล้านบาทด้วย”

“หรือโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีแบรนด์บูก้าน (BuGaan) เปิดขาย 14 ยูนิต ระดับราคา 35.9-80 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 600 ล้านบาท ก็สามารถขายหมดในเวลาเพียง 4 เดือน”.

บุญกิต จิตรงามปลั่ง

รองประธานที่ปรึกษากลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

ภาวะเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน ทำให้ทุกคนต้องประหยัด เลือกซื้อหาเฉพาะ สิ่งที่จำเป็น สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นทั่วโลกและแน่นอนกระทบต่อธุรกิจค้าเพชร-พลอย จิวเวลรีอย่างแน่นอนเพราะถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย

อย่างไรก็ตาม หากมองลึกลงไปในกลุ่มคนมีรายได้สูงหรือเศรษฐีทั่วโลก คนกลุ่มนี้ยังคงซื้อเพชรอย่างต่อเนื่อง คำอธิบายก็คือคนกลุ่มนี้ถือว่าสินค้าฟุ่มเฟือย ยกตัวอย่างเช่น เพชร เป็นสินค้า “ต้องใช้” แม้จะไม่ “จำเป็น” เหมือนอาหาร ยารักษาโรค แต่เป็นสินค้า “ต้องใช้” ในวาระสำคัญ เช่น คริสต์มาส ปีใหม่ วันเกิด การซื้อเพชรจึงยังเป็นเรื่องปกติของเศรษฐีไม่ว่าอยู่ในภาวะเศรษฐกิจเช่นไร และเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นทั่วไป ทั้งกับเศรษฐีอเมริกัน เศรษฐียุโรป หรือเศรษฐีไทย

สิ่งที่เห็นชัดเจนในตลาดเพชรบ้านเราขณะนี้ คือความต้องการเพชรกะรัตใหญ่ที่เพิ่มสูงขึ้นมาก นั่นแสดงให้เห็นว่ายอดขายเพชรในตลาดบนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ในทางตรงกันข้าม กลุ่มเศรษฐียังขยับขึ้นไปสะสมเพชรไซส์ใหญ่ขึ้นด้วย พูดง่ายๆ หากคนทั่วไปสะสมทองเพื่อความมั่งคั่งและการลงทุน เพชรคือทางเลือกของกลุ่มเศรษฐีที่ต้องการรักษาความมั่งคั่งเอาไว้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่ไม่นอน แม้ซื้อง่ายขายคล่องน้อยกว่า แต่มั่นคงกว่า ราคาขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยน

“เราต้องยอมรับว่าในทุกวิกฤติที่ผ่านมา กลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งเหล่านี้มักมองหาโอกาสใหม่ๆได้เสมอ”

“ตอนนี้เพชรขนาด 5 กะรัตกำลังขาดตลาด ไม่มีของ กลายเป็นไซส์ยอดนิยมของกลุ่มเศรษฐี จากเมื่อก่อนกลุ่มคนทั่วไปที่ซื้อเพชรเพื่อการหมั้นหรือซื้อเป็นของขวัญให้ผู้หญิงจะอยู่ที่ 1 กะรัต ขณะที่กลุ่มเศรษฐีขยับขึ้นไปเล่นที่ไซส์ 2-3 กะรัตขึ้นไป และล่าสุดขยับไปซื้อ 5 กะรัตขึ้นไปแล้ว”

“แต่หากจะถามว่าราคาเพิ่มขึ้นไปเท่าไร อาจจะพูดยาก เพราะเพชร สำหรับบางคน เป็นสินค้าที่ซื้อด้วยความพอใจ ถ้าอยากได้ราคาเท่าไรก็ซื้อก็สู้ อย่างไรก็ตามด้วยราคา ณ ปัจจุบัน ใครจะซื้อเพชรเพื่อเก็งกำไร ผมไม่แนะนำเด็ดขาด”.

ทีมเศรษฐกิจ


ส่งหน้านี้ให้เพื่อน