เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 65 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์ข้อความว่า “นี่เป็นห้องที่รองหัวหน้าพรรค ที่มักจะหลอกผู้หญิงว่าเป็นสำนักงาน เหยื่อคนไหนหลงเชื่อยอมขึ้นมาบนห้อง รองหัวหน้าพรรคก็จะล็อกประตู ใช้กำลังปลุกปล้ำข่มขืน แล้วก็มักจะขู่เหยื่อว่าหากแจ้งความ ครอบครัวเหยื่อจะเดือดร้อน เพราะพ่อตัวเองนั้นใหญ่มาก บางคนต้องยอมให้ข่มเหงเป็นปี ๆ บางคนเป็นบาดแผลในใจถึงกับป่วยเป็นโรคซึมเศร้า บางคนถึงกับต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ
วันนี้พวกเราคนไทยต้องขอบคุณ และส่งกำลังใจให้เหยื่อทุกคนนะครับ ที่กล้าออกมาเปิดเผยข้อมูลด้วยความกล้าหาญ น้อง ๆ เป็นผู้ถูกกระทำโดยไม่เต็มใจ ซึ่งสิ่งที่ทุกคนทำ ทำให้อีกหลายคนรู้สันดาน #รองหัวหน้าพรรคโรคจิตว่าต่อหน้าสื่อเป็นคนดี ดูน่าเชื่อถือ แต่ลับหลังกลับมีพฤติกรรมตรงกันข้ามขนาดไหน จะได้ไม่มีคนตกเป็นเหยื่อมันอีก ขอขอบคุณทุกคนด้วยใจครับ”
นางสาวสาม (นามสมมติ) หนึ่งในเหยื่อซึ่งอ้างว่าถูกข่มขืนเมื่อ 15 ปีที่แล้ว เล่าให้ฟังว่า พฤติกรรมของนักการเมืองคนนี้ จะทำดีกับตนมาก ๆ ชอบเข้าหานักศึกษาที่เป็นเด็กฝึกงาน สมัยนั้นตนฝึกงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งนักการเมืองคนนี้ก็ช่วยเหลือตนทุกอย่าง ในเรื่องของการให้ข้อมูลทำโปรเจกต์จบ จนทำให้ตนตายใจและหลงเชื่อว่าคือผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่ง
กระทั่งในวันหนึ่งตนนัดคุยกันเรื่องข้อมูล เพื่อนำมาทำโปรเจกต์จบ แต่นักการเมืองคนนี้ไม่สามารถออกมาเจอได้ จึงนัดหมายให้ตนมาที่คอนโดมิเนียมหรูแห่งหนึ่ง ตนจึงเดินทางไปหา เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร ที่ผ่านมาก็ไม่ทีท่าทีส่อแววคุกคามทางเพศ เมื่อตนไปถึงปรากฎว่านักการเมืองคนนี้ กำลังร้องเพลงคาราโอเกะอยู่ ซึ่งตนก็แปลกใจ แต่ก็นั่งรอจนให้เขาร้องเพลงผ่านไปได้สักพัก จากนั้นจึงบอกว่าให้มาคุยเรื่องงานกันดีกว่า แต่นักการเมืองคนนี้ก็ขยับมานั่งข้าง ๆ ตน เริ่มใช้มือลวนลามตามร่างกาย หน้าอก และก้น ทำให้ตนเกิดความไม่พอใจ จึงสะบัดมือฝ่ายชายออก
จังหวะนั้น ฝ่ายชายก็พุ่งตัวเข้ามาจูบ และพยายามใช้กำลังล็อกตัวของตนไม่ให้ขยับได้ ตนก็ยิ่งจะสู้และขัดขืน แต่ฝ่ายชายก็พยายามออกแรงให้มากขึ้น จนทำให้ตนไม่สามารถขัดขืนได้ ทั้งนี้ หลังถูกข่มขืนนักการเมืองคนนี้บอกตนว่า “นี่ไม่ใช่การข่มขืนนะ พี่จะคบหาดูใจกับเราจริง ๆ” แต่ทุก ๆ ครั้งที่เขาเรียกให้ตนไปหา มีแค่เรื่องเซ็กซ์เรื่องเดียว ถ้าปฏิเสธก็จะโดนขู่อ้างว่าจะประจาน เพราะมีคลิปวิดีโอที่ถ่ายเอาไว้ ตอนนั้นตนก็ไม่รู้ว่ามีคลิปวิดีโออนาจารจริงหรือไม่ แต่ก็รู้สึกหวาดกลัว และไม่กล้าบอกครอบครัวให้รับรู้แม้แต่น้อย
ทั้งนี้ ตนรู้สึกอับอาย ไม่มีที่อยู่ในสังคม เพราะไปทางไหนก็เจอแต่นักการเมืองคนนี้ ซึ่งพ่อของเขาก็เป็นคนใหญ่คนโต ทำให้ตนตัดสินใจต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ กระทั่งได้ยินข่าวยิ่งทำให้รู้สึกตกใจว่า ทำไมนักการเมืองคนนี้ยังทำนิสัยเหมือนหลายปีก่อน ตนจึงเชื่อว่ามีผู้เสียหายมากกว่านี้แน่นอน และอยากให้ทุกคนออกมาสู้ หรือไม่ก็ออกมาให้ข้อมูล เพื่อที่จะเอาผิดผู้ชายคนนี้ และตนก็ขอให้กำลังใจกับเหยื่อรายอื่น ๆ ตนอยากให้ฝ่ายชายได้รับผลกรรมที่เขากระทำเอาไว้