สิงห์เอสเตท มั่นใจโครงสร้าง 4 ธุรกิจสร้างแกร่ง 5 ปี รายได้ทะลุ 3 หมื่นล้าน – ข่าวสด

ส่งหน้านี้ให้เพื่อน

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์กระจายการลงทุนเพื่อสร้างความหลากหลายใน 4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน คือ ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านแนวราบ และ คอนโดมิเนียม ธุรกิจโรงแรม ใน 5 ประเทศ ไทย สหราชอาณาจักร มัลดีฟ มอริเชียส และฟิจิ รวมถึงธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมีนิคมอุตสาหกรรมอ่างทอง เป็นแห่งแรก 2,000 ไร่

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

เพิ่มเพื่อน

รวมถึงลงทุนธุรกิจสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยเฉพาะการเข้าร่วมทุน 30% ในบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 1 จำกัด พัฒนาโรงไฟฟ้าบีกริมรวม 3 แห่ง และจะเริ่มรับรู้รายได้ 1 แห่งในปีนี้ ซึ่งทั้งหมดทำให้ในปี 2564 บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยมีรายได้ 7.74 พันล้านบาท เติบโต 18% โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าถือหุ้นธุรกิจโรงแรมในสหราชอาณาจักรเพิ่มเป็น 100% และผลักดันให้รายได้เติบโตอย่างได้

สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2565 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 88% หรืออยู่ที่ 1.34 หมื่นล้านบาท พร้อมกำหนดแผน 5 ปี (2565-2569) มีการเติบโตของรายได้ปีละ 25% หรือในปี 2569 มีรายได้กว่า 3 หมื่นล้านบาท ภายใต้แผนกลยุทธ์ขยายธุรกิจเดิมและการขยายธุรกิจด้วยการหาผู้ร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ที่มีความเชี่ยวชาญนอกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างอาณาเขตธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์ อาทิธุรกิจบริการด้านสุขภาวะ หรือ เวลเนส เป็นต้น

โดยการเติบโตของรายได้ใน 4 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย รายได้จากธุรกิจโรงแรม 8 พันล้านบาท ส่วนที่อยู่อาศัย มากกว่า 3 พันล้านบาท นิคมอุตสาหกรรม กว่า 500 ล้านบาท ที่เหลือเป็นอาคารสำนักงานให้เช่า ซึ่งในปีนี้จะมี 2 อาคารที่เริ่มเปิดให้บริการ ประกอบด้วยโครงการ เอส โอเอซิส สำนักงานพร้อมพื้นที่ค้าปลีกบริเวณห้าแยกลาดพร้าว พื้นที่รวม 55,700 ตร.ม. คาดว่าปีนี้จะมีผู้เช่าพื้นที่ 50% และอาคารเอส เมโทร ซ.พร้อมพงษ์ รวมถึงในปีนี้จะมีการนำทรัพย์กว่า 6 พันล้านบาท ขายเข้ากองทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (รีทส์) เอส ไพรม์ โกรท หรือ SPRIME

“สถานการณ์รายได้จะค่อยๆ ดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป ส่วนไตรมาสที่ 3 ราวเดือนก.ค. บริษัทมีแผนเปิดโครงการบ้านแนวราบ บน ถ.พัฒนาการ ราคาเริ่มต้น 50-80 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 2.9 พันล้านบาท และจะมีการทยอยโอนกรรมสิทธิโครงการบ้านสันติบุรี ที่ล่าสุดปิดการขายทั้งโครงการ 2.6 พันล้านบาทไปแล้วตั้งปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมโอนในโครงการโครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ และ ดิ เอส อโศก ด้วย”นางฐิติมากล่าว

สำหรับปัจจัยเสี่ยงด้านความไม่แน่นอนทางการเมืองนอกประเทศ มีทั้งกระทบตรง คือลูกค้ารัสเซีย ที่จะมีผลต่อธุรกิจโรงแรมแต่เป็นเพียงระยะสั้นๆ ส่วนผลกระทบจากโรคระบาด ในสถาวะปัจจุบันสามารถรับมือได้แล้ว ขณะที่สภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง ทำให้ต้องบริหารจัดการต้นทุน โดยเฉพาะการควบคุมต้นทุนทางการเงินที่รัดกุมและเหมาะสม รองรับการเติบโต เพื่อเป็นต้นทุนที่สำคัญในการพัฒนาโครงการให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้และบริหารความเสี่ยงได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ


ส่งหน้านี้ให้เพื่อน