“สิวารมณ์” ชี้ ตลาดอสังหาฯ ปี 66 โตต่อเนื่อง จ่อบุกทำเลใกล้โซน CBD กระจายความเสี่ยง ขับเคลื่อนองค์กรการเติบโตระดับ HIGH GROWTH

ส่งหน้านี้ให้เพื่อน

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2566

บมจ.สิวารมณ์ เรียลเอสเตท (“SVR”) เชื่อทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 66 โตต่อเนื่อง เดินหน้าออกแคมเปญกระตุ้นการเข้าชมโครงการ เร่งการตัดสินใจซื้อ บุกทำเลใกล้โซน CBD ของกรุงเทพฯ หวังกระจายความเสี่ยง พร้อมกระจายไปยังตลาดใหม่ๆ ในกลุ่มระดับราคาสินค้าที่สูงขึ้น ย้ำยังคงจับลูกค้ากลุ่ม Real Demand เป็นหลัก ชูแนวคิด“Best Smart Living”ขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ตอกย้ำศักยภาพผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาแนวราบสู่การเติบโตระดับ High Growth ต่อเนื่อง

นายรณฤทธิ์  ฐิติสุริยารักษ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ SVR ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยแนวราบประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม เปิดเผยว่า ทิศทางของภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะไม่ต่อมาตรการผ่อนคลาย LTV (Loan to Value) แต่ตลาดก็ยังมีปัจจัยบวกจากการที่ภาครัฐมีการขยายอายุมาตรการการลดค่าธรรมเนียมในการซื้อที่อยู่อาศัยสำหรับบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนการโอนจาก 2% เหลือ 1% และลดค่าธรรมเนียมในการจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 รวมถึงการที่ประเทศจีนได้เปิดประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดท่องเที่ยวไทยและตลาดที่อยู่อาศัยไทย  จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ส่งผลให้กำลังซื้อผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบ มีดีมานด์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นเรื่องแหล่งทำเลที่ตั้ง และการเดินทางคมนาคมสะดวก สะดวกสบายเป็นหลัก ซึ่งในส่วนการพัฒนาโครงการของ SVR เอง ก็ตั้งอยู่ในทำเลที่มีความต้องการต่อเนื่อง เห็นได้จากการทยอยส่งมอบโครงการอยู่ตลอดเวลาในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนถึงความต้องการที่ยังมีอยู่สูง

ทั้งนี้ แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะไม่ต่อมาตรการผ่อนคลาย LTV ในปี 2566 ซึ่งจะมีผลกระทบกับการตัดสินใจซื้อในตลาดอสังหาริมทรัพย์อยู่บ้างนั้น แต่ด้วยโครงการ ของ SVR ที่มีอยู่จับลูกค้าในกลุ่ม Real Demand (ลูกค้าที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัย) เป็นหลัก อีกทั้ง บริษัทฯ ยังมีการเตรียมความพร้อมในการออกแคมเปญทางการตลาด เพื่อสร้างยอดผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการ (Walk-in) ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นความต้องการของลูกค้าอีกด้วย

แม้ SVR จะเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์น้องใหม่ แต่หากพิจารณาจากทีมผู้บริหาร SVR แล้วจะเห็นได้ว่าเรามีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดที่อยู่อาศัยมามากกว่า 30 ปี โดย SVR มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการบ้านแนวราบ ในระดับราคา 1-7 ล้านบาท เนื่องจากเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ และเป็นกลุ่ม Real Demand เพื่อตอบสนองทุกความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง ภายใต้แนวคิด “Best Smart Living”ที่เข้ามาตอบโจทย์ Lifestyle การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยในยุควิถีชีวิตใหม่ ประกอบด้วย 1.) Smart Location เน้นทำเลที่ตั้ง เดินทางสะดวก ใกล้แหล่งสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ และใกล้รถไฟฟ้า 2.) Smart Function เน้นการออกแบบพื้นที่ใช้สอยคุ้มค่าและลงตัว 3.) Smart Value ราคาที่คุ้มค่าเข้าถึงได้ และ 4.) Smart Home เน้นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ Lifestyle ทุก Generation” 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังร่วมกับสถาบันการเงินจัดวันเพื่อให้คำปรึกษาด้านสินเชื่อในแต่ละโครงการ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าด้วย ดังนั้น ในส่วนของบริษัทฯเองจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยบริษัทฯเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อยูนิต โดยมีขนาดที่ดินต่อโครงการไม่เกิน 50 ไร่ ทำให้สามารถกระจายการพัฒนาโครงการได้ในหลากหลายพื้นที่ ซึ่งมีความเหมาะสมกับความต้องการและไม่เกิดอุปทานส่วนเกิน ส่งผลให้โครงการของบริษัทสามารถขายได้หมดภายในระยะเวลา 3 ปี

ปัจจุบันบริษัทฯมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและการขาย จำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวม 2,996 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาจำนวน 1 โครงการ มูลค่า 686 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์หลัก 5 แบรนด์ ประกอบด้วย 1. สิวารมณ์ ซิตี้ ระดับราคา 1.7-3.0 ล้านบาท 2. สิวารมณ์ วิลเลจ ระดับราคา 2.5-5.0 ล้านบาท 3. สิวารมณ์ เนเจอร์ พลัส ระดับราคา 2.3-5.9 ล้านบาท 4. สิวารมณ์ ปาร์ค ระดับราคา 3.5-4.3 ล้านบาท และ 5. แกรนด์ สิวารมณ์ ระดับราคา 4.6-6.2 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2566 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตสู่ระดับ High Growth อย่างยั่งยืนในอนาคต โดยโครงการดังกล่าว คาดว่าจะสามารถเปิดเผยข้อมูลโครงการอย่างชัดเจนในเร็วๆ นี้ 

ในปี 2566 บริษัทฯมีแผนขยายการพัฒนาโครงการเข้ามาในพื้นที่ใกล้โซน CBD ของกรุงเทพมากขึ้น จากเดิมที่พัฒนาโครงการในโซนพื้นที่ชาญเมืองเป็นหลัก เนื่องจากบริษัทฯ ต้องการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตสินค้า อีกทั้ง ยังเพื่อต้องการขยายฐานลูกค้าในพื้นที่ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยทุกโครงการที่จะพัฒนาใหม่ๆ ในอนาคต บริษัทฯยังคงเน้นพัฒนาโครงการเพื่อจับกลุ่มลูกค้า Real Demand เป็นหลัก” นายรณฤทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย


ส่งหน้านี้ให้เพื่อน