‘อสังหา’ เด้งรับ ‘ต่างชาติ’ ซื้อที่ดิน 1 ไร่ โหมผุดบ้านหรูดูด ‘เศรษฐีทั่วโลก’ ช้อป คาดเม็ดเงินสะพัดมหาศาล
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังรัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้ต่างชาติ 4 กลุ่มที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ 1.กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง 2.กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ 3.กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และ 4.กลุ่มผู้มีทักษะ เชี่ยวชาญพิเศษ ที่นำเงินมาลงทุนไม่น้อยกว่า 40 ล้านบาท สามารถซื้อบ้านและที่ดินไม่เกิน 1 ไร่อย่างเป็นทางการ จะเป็นปัจจัยหนุนเพิ่มกำลังซื้อให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวราบระดับลักชัวรี่ราคาตั้งแต่ 30-100 ล้านบาทมากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันตลาดกลุ่มนี้มีการขยายตัวอย่างเนื่อง 2-3 ปีนับจากเกิดการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากกำลังซื้อไม่ได้รับผลกระทบเหมือนกลุ่มตลาดกลาง-ล่าง และที่ผ่านมาผู้ประกอบการหลายบริษัทหันทำตลาดนี้กันมากขึ้นและตลาดขยายตัวได้ดี
นายวงศกรณ์กล่าวว่า หลังรัฐบาลประกาศชัดเจน ในส่วนของบริษัทในปี 2566 ต้องปรับแผนการพัฒนาโครงการรองรับโดยจะลดสัดส่วนโครงการคอนโดมิเนียม และทาวน์เฮาส์ราคา 3 ล้านบาท มาเพิ่มสัดส่วนโครงการแนวราบลักชัวรี่บ้านราคา 30-100 ล้านบาทขึ้นไปมากขึ้น เน้นในทำเลใกล้สนามบินสุวรรณภูมิและอีอีซี เช่น กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ร่มเกล้า รามคำแหง สุขุมวิท 77 เป็นต้น
“ในปี 2565 เราเพิ่มพอร์ตแนวราบ จากเดิมมีสัดส่วนเพียง 25% เป็น 50% ตั้งเป้ารายได้ 12,000 ล้านบาท ในนี้เป็นยอดขายบ้านลักชัวรี่ 6,000 ล้านบาท ซึ่งผลตอบรับดีมาก สร้างแทบไม่ทัน และมีลูกค้าต่างชาติมาสอบถามบ้านเรามาก แต่ติดข้อกฎหมายยังไม่ให้ซื้อได้ แต่เมื่อรัฐปลดล็อกแล้ว และในปีหน้าจีนเปิดประเทศจะทำให้ตลาดนี้คึกคักและมียอดขายเพิ่มขึ้น” นายวงศกรณ์กล่าว
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จะช่วยให้ตลาดแนวราบคึกคักขึ้น ซึ่งแสนสิริมีสัดส่วนรายได้จากลูกค้าต่างชาติที่ซื้อทั้งคอนโดมิเนียมและแนวราบอยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี หรือ 3,000-4,000 ล้านบาทของรายได้รวม
“ลูกค้ามาซื้อส่วนใหญ่เป็นคนจีน ไต้หวัน และยุโรปที่เริ่มมีเข้ามาบ้างแล้ว ซึ่งปัจจุบันต่างชาติซื้อคอนโดได้อยู่แล้ว 49% ของพื้นที่โครงการ ด้านแนวราบจะซื้อในนามนิติบุคคล ส่วนใหญ่เป็นคนจีนที่ทำงานในไทยมาซื้อเป็นบ้านหลังที่ 2 เลือกใกล้ที่ทำงานและโรงเรียนลูก ซึ่งทำเลโซนตะวันออกของกรุงเทพฯจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษเพราะใกล้อีอีซี ส่วนคอนโดอยู่โซนในเมือง เช่น ห้วยขวาง สุขุมวิท ทั้งซื้ออยู่อาศัยและปล่อยเช่า” นายอุทัยกล่าว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ครม.ไฟเขียวร่างกฎกท.ให้ต่างชาติถือครองที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ แลกลงทุนขั้นต่ำ 40 ล.
- ‘นายกฯ’ เชื่อ LTR Visa เปิดรับชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงอยู่ไทยยาว ช่วยดึงดูดการลงทุน
- เลาะงาน ‘มหกรรมบ้าน-คอนโด’ แข่งลดราคาเป็นล้าน โปรอยู่ฟรี ดอกเบี้ย 0% บานสะพรั่ง
นายมีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า จากมติ ครม.ต่างชาติสามารถที่นำเงินลงทุน 40 ล้านบาท สามารถซื้อบ้านพร้อมที่ดินไม่เกิน 1ไร่ ได้ทุกพื้นที่เป็นโซนที่อยู่อาศัยและทุกราคา เป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการวีซ่า LTR ที่ให้ต่างชาตอพำนักในประเทศไทยได้ 10 ปี มองภาพรวมแล้วจะช่วยกรึกำลังซื้ออสังหาแนวราบ การลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศได้ อย่างไรก็ตาม สมาคมอยากให้รัฐบาลเร่งแก้กฎหมายให้ต่างชาติซื้อแนวราบได้ 49% ของจำนวนยูนิตในโครงการเหมือนคอนโดมิเนียม เพื่อให้ครอบคลุมได้มากขึ้นและทำให้ต่างชาติซื้อได้ถูกกฎหมายมากขึ้น จากปัจจุบันซื้อในนามนิติบุคคล
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และนายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผยว่า ในปี 2566 คาดหวังตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลจะกลับมาใกล้เคียงปีก่อนโควิด มีมูลค่า 4.5 แสนล้านบาท เนื่องจากมีปัจจัยบวกจากเปิดประเทศมีต่างชาติเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะจีนจะเปิดประเทศน่าจะเป็นแรงสำคัญทำให้อสังหากลับเข้าสู่ปกติโดยเร็วในปีหน้า
นายพีระพงศ์กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีมาตรการรัฐอนุมัติให้ต่างชาติกลุ่มมั่งคั่งลงทุน 40 ล้านบาท ซื้อบ้านพร้อมที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ จะมาช่วยสนับสนุนกำลังซื้อคักคักมากขึ้น โดยมองว่าเป็นนโยบายที่ดี เนื่องจากในระยะเวลา 10 ปีที่ต่างชาติได้วีซ่า LTR นอกจากประเทศจะได้เงินลงทุนแล้ว ภาคธุรกิจอสังหายังได้เงินจากการขายบ้านในกลุ่มระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป ยังได้เม็ดเงินใหม่เข้ามาในระบบเศรษฐกิจจากการใช้จ่าย 80 ล้านบาทต่อครอบครัว ซึ่งหากมีต่างชาติเข้ามา 1 ล้านครอบครัว เท่ากับได้เม็ดเงิน 80 ล้านล้านบาทเข้ามาเป็นจีดีพีใหม่ ในส่วนของออริจิ้นปัจจุบันมีบ้านแนวราบ 10 โครงการ ที่รองรับต่างชาติจะเข้ามาอยู่แล้ว 20-40 ล้านบาทต่อหลัง เพราะในช่วงโควิดบ้านระดับบนเป็นตลาดที่มีกำลังซื้ออยู่แล้ว
นายพีระพงศ์กล่าวต่อว่า ส่วนคอนโดมิเนียมต่างชาติซื้อได้ 49% อยู่แล้ว คาดว่าตลาดจะกลับมาฟื้นตัวตามประเทศเป็นคู่ค้าสำคัญ โดยอันดับแรกเป็นจีน รองลงมาฮ่องกง สิงคโปร์ ยุโรป และรัสเซีย ตลาดรีสอร์ต คอนโดมิเนียม เช่น ภูเก็ตชาวรัสเซียมาซื้อมาก ในปีนี้มีตลาดต่างชาติประมาณ 5% ยังน้อยมาก เมื่อเทียบกับปี 2561 มีต่างชาติถึง 20% และปีหน้าจะกลับมาในระดับ 10%
“ส่วนมาตรการกระตุ้นอสังหาที่สมาคมจะขอจากรัฐ คือขยายลดค่าธรรมเนียมและจดจำนองเหลือ 0.01% ออกไปถึงปีหน้า และขยายเพดานราคาเป็น 5 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นตลาดอสังหา เพราะยังเป็นที่ต้องการของลูกค้าและขอลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เก็บ 100% รวมถึงจะขอให้รัฐผลักดันโครงการบ้านบีโอไอออกมาสู่ตลาดมากขึ้น และปรับราคาจากยูนิตละ 1.2 ล้านบาท เป็น 1.4 ล้านบาท ตามราคาวัสดุก่อสร้างที่ขึ้น เพื่อกระตุ้นตลาด รองรับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ วัยเริ่มทำงาน แหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ที่เกิดขึ้นตามแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ที่ขยายไปชานเมืองมากขึ้นในปัจจุบัน” นายพีระพงศ์กล่าว
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก
Line @Matichon ได้ที่นี่