เปิดเส้นทางอสังหาหน้าใหม่ ‘กฤช พรหมสุทธิ’ จากนักข่าวการเมือง สู่นักพัฒนาบ้านหรูแบรนด์ ‘อาธาร์-อาคิน’
ปัจจุบันแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะยังไม่กลับมาเติบโตเท่ากับปีก่อนเกิดโควิด แต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นแวดวงที่มีการพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง จากดีเวลลอปเอร์หน้าเก่าและหน้าใหม่ ล่าสุดมีการเปิดตัวโครงการใหม่ของ บริษัท เอสติม่า แอสเสท จำกัด บริษัทอสังหาริมทรัพย์น้องใหม่ที่เข้ามาปักหมุดพัฒนาโครงการในทำเลศักยภาพ มี “กฤช พรหมสุทธิ” นั่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท
โดย กฤช เล่าว่า ปัจจุบันอายุ 33 ปี ก่อนจะมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เคยเป็นนักข่าวสายการเมืองก่อน 1 ปี จากนั้นเข้าสู่วงการอสังหาริมทรัพย์เพราะความบังเอิญ เนื่องจากที่บ้านทำรับเหมาก่อสร้างมา 60 ปีตั้งแต่รุ่นคุณปู่มาถึงรุ่นคุณพ่อ และครอบครัวมีที่ดินซื้อเก็บสะสมไว้อยู่หลายแปลงในกรุงเทพฯ จึงขอโอกาสจากคุณพ่อนำที่ดินบางแปลงมาพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
“เมื่อ 5 ปีที่แล้ว นำที่ดินย่านอโศก 3 ไร่ ทำเป็นอาคารพาณิชย์และสำนักงานให้เช่า แต่ธุรกิจปล่อยเช่าเริ่มนิ่ง เลยอยากจะมาทำอสังหาเพื่อขาย จึงตั้งบริษัท เอสติม่า แอสเสท จำกัดขึ้นเมื่อปี 2560 เพื่อดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยที่ดินที่นำมาพัฒนามีทั้งซื้อใหม่และใช้แลนด์แบงก์ของครอบครัวที่ซื้อสะสมไว้หลายแปลงในกรุงเทพฯ เช่น อโศก พหลโยธิน วิภาวดีรังสิต”
จากวันนั้น “กฤช” ฉายภาพว่า ปัจจุบันได้เปิดตัวโครงการแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ อาธาร์ พหล-อารีย์ ในซอยพหลโยธิน 14 บนเนื้อที่ 182 ตารางวา (ตร.ว.) บ้านเดี่ยวหรู 3 ชั้นครึ่ง 3 หลัง แต่ละหลังสร้างบนที่ดินเริ่มต้น 56.3 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอยกว่า 570 ตารางเมตร(ตร.ม.) ราคา 44-62 ล้านบาท ยังเหลือ 1 หลังสุดท้ายจะปิดการขายสิ้นปีนี้
ส่วนโครงการที่ 2 เปิดพรีเซลเมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 คือ โครงการ อาคิน วิภาวดี พัฒนาบนแลนด์แบงก์ที่ซื้อไว้ในซอยวิภาวดี 84 บนเนื้อที่กว่า 5 ไร่ เป็นบ้านแฝด 3 ชั้นครึ่ง 32 หลัง มูลค่าโครงการ 420 ล้านบาท มีขนาดพื้นที่ 36.7-44.6 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 270 ตร.ม. มี 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 3 คัน ราคาเริ่มต้น 12.9 ล้านบาท โดยราคาขายปรับขึ้นจากเดิม 2 ล้านบาท ตามต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มสูง 20% ขณะที่มียอดขายแล้ว 30% โดยลูกค้าเป็นเจ้าของธุรกิจและกลุ่มพ่อแม่ซื้อบ้านไว้ให้ลูก ตั้งเป้าในสิ้นปีนี้มียอดขาย50% และยอดโอน 200 ล้านบาท
สำหรับแผนงานต่อไปในปี 2566 “กฤช” บอกว่า วางแผนเปิด 2-3 โครงการทใหม่ ระดับราคาขายอยู่ที่ 7-15 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,000 ล้านบาท โดย 2 โครงการแรกจะเปิดตัวไตรมาส3/2566 เป็นแลนด์แบงก์ของครอบครัวย่านลำลูกกาเนื้อที่ 5 ไร่ มูลค่าโครงการ 350 ล้านบาทและพหลโยธิน เนื้อที่ 12 ไร่ กำลังดูว่าจะพัฒนาเป็นคอนโดโลว์ไรส์กรือทาวน์โฮม มูลค่าโครงการ 800-1,000 ล้านบาทอีก 1 โครงการอยู่ที่ภูเก็ตย่านลายัน กัมลา ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาซื้อที่ดิน จะพัฒนาเป็นพูลวิลล่า ราคา 15-20 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 130 ล้านบาท เปิดตัวไตรมาส4/2566
“เราเจาะตลาดเซ็กเมนต์ราคา 7-15 ล้านบาท เพราะมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ มีความมั่นคงด้านอาชีพและรายได้มากกว่ากลุ่มตลาดต่ำกว่า 3-5 ล้านบาทที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อสภาพเศรษฐกิจ ส่วนที่ขยายการลงทุนไปที่ภูเก็ต เพราะมองว่าภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่น่าลงทุนและเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ขณะนี้นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาแล้ว แม้จะยังไม่คึกคักเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ก็ตาม” นายกฤชกล่าว
นอกจากนี้ “กฤช” ยังเล่าถึงความฝัน อยากจะนำที่ดินของครอบครัวทำเลไพร์มแอเรีย ย่านอโศก เนื้อที่ 3 ไร่ พัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส โดยมี ‘สิงห์ คอมเพล็กซ์’ เป็นโมเดลต้นแบบ โดยด้านล่างเป็นพื้นที่รีเทล ส่วนด้านบนเป็นที่อยู่อาศัย
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก
Line @Matichon ได้ที่นี่