วันที่ 02 พ.ค. 2565 เวลา 06:57 น.
บัญชีหนี้ดีต้องกลายมาเป็นหนี้เสียในช่วงสองปีของโรคระบาดโควิด ซึ่งพบความจริงในเดือนมกราคม 2565 ว่ามีจำนวน 2.3 ล้านบัญชี คิดเป็นเงิน 2 แสนล้านบาท
คอลัมน์ เศรษฐกิจภาษาคน โดยคุณสุ ตอนที่ 18/2565
บทความในวันนี้ของผมใคร่ขอเสนอประเด็นต่อเนื่องจากบทความครั้งก่อนหน้า (เศรษฐกิจภาษาคน โดยคุณสุ ตอนที่ 17/2565 : ต้องจุดเศรษฐกิจให้ติด ผู้คนมีรายได้ คือการแก้ไขปัญหาหนี้ วันที่ 25 เมษายน 2565) ที่ได้มีการพูดถึงในหน้าข่าวสื่อมวลชนด้านเศรษฐกิจว่า ในสถานะตัวเลขของเดือนมกราคม 2565 เมื่อสมาชิกของเครดิตบูโรจำนวนกว่า 120 สถาบันการเงินได้ส่งข้อมูลเข้าระบบโดยมีการแจ้งรหัสสถานะบัญชีใหม่เพิ่มเติมเป็นครั้งแรกว่า ในกรณีที่บัญชีสินเชื่อนั้นได้เกิดการค้างชำระเกินกว่า 90 วัน (ภาษาชาวบ้านคือค้างชำระเกิน 3 งวด หรือ 3 เดือนติดต่อกัน) แล้วกลายเป็นหนี้เสียหรือหนี้ NPL แล้ว ให้ดูต่อกลับไปในอดีตว่าในปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 นั้น บัญชีดังกล่าวมีการค้างชำระหรือไม่ ดูต่อว่าเจ้าของบัญชีหรือลูกหนี้รายนั้นมีกี่บัญชี ทุกบัญชีจะต้องมีการชำระที่ดีทั้งหมด เพื่อให้มั่นใจว่า การที่บัญชีที่ดีขนาดนั้น เจ้าของบัญชีจ่ายหนี้ดีขนาดนั้น ในปี 2562 แต่วันนี้ผ่านมาสองปี ได้กลายมาเป็นหนี้เสีย ผลกระทบที่เกิดกับลูกหนี้เจ้าของบัญชีนั้นมันต้องเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติ ซึ่งเหตุการณ์ไม่ปกติในช่วงปี 2563-2564 มันมีเรื่องเดียวคือ income shock เนื่องจากมาตรการทางสาธารณสุขในการแก้ไข และป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่น่าจะมาจากเหตุการณ์อื่นใด
ผู้เขียนคิดไว้เสมอตอนที่พยายามจะแยกแยะข้อมูลให้ได้ว่า บัญชีที่เคยเป็นหนี้ดีต้องกลายมาเป็นหนี้เสียในช่วงสองปีของสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 นี้ ซึ่งก็พบกับความจริงในเดือนมกราคม 2565 ว่ามีจำนวน 2.3 ล้านบัญชี คิดเป็นเงิน 2 แสนล้านบาท ตัวเลขนี้จะยังไม่หยุด มันคงจะเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะมันยังไม่จบเรื่องโรคระบาดโควิด-19 ยังคงมีประเด็นอื่นที่แทรกซ้อนขึ้นมาจนทำให้ลูกหนี้เจ้าของบัญชีดังกล่าวต้องยอมแพ้ในการหาเงินมาชำระหนี้ตามที่กำหนด อาการนี้ที่เรียกว่า “หมดแรงกับหมดลม” คงจะเพิ่มขึ้น ตัวเลขที่ออกมาเบื้องต้นในไตรมาสที่หนึ่งก็น่าจะเพิ่มเป็น 2.5-2.7 ล้านบัญชีประมาณนี้ ซึ่งมันก็บ่งบอกได้ถึงความอ่อนแอในไส้ในของหนี้ครัวเรือนไทยที่ก่อกันมา สร้างกันมาแต่ในอดีตหลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ถ้าเราจะยังจำกันได้ถึงการกู้เพื่อซ่อมสร้าง รถยนต์คันแรก บ้านหลังแรก เกษตรกรสร้างหนี้เพราะเชื่อในรายได้จากโครงการจำนำข้าว เป็นต้น
อย่างที่ได้จั่วหัวในตอนต้นของบทความ เมื่อผู้เขียนได้รับทราบข่าวสารว่า สมาคมด้านอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมได้ออกมาแถลงถึงแนวนโยบายในการดำเนินการในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านที่เกี่ยวกับเครดิตบูโรความตามเนื้อข่าวที่เปิดเผยออกมาว่า
“… ผมเข้ามาร่วมงานสมัยนายกประเสริฐ (แต่ดุลยสาธิต) กับนายกอาภา (อรรถบูรณ์วงศ์) ทั้งสองท่านทำภารกิจต่าง ๆ ส่งเสริมสมาคมและส่งเสริมผู้ประกอบการ สำหรับยุคโควิด-19 ธุรกิจคอนโดมิเนียมเรากระทบมากที่สุดเลยในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผลกระทบคงไม่แพ้ธุรกิจโรงแรม เรามีสต็อกคอนโดฯ มีที่ดินรอเปิดขายคอนโดฯ มาสัก 3 ปีที่ไม่ได้เปิดสักที คิดว่าเป็นภารกิจที่พยายามผลักดัน
ผมคิดว่าสุขภาพคอนโดฯ หรือสุขภาพลูกค้า ปีโควิด-19 ไม่เหมือนปีปกติ ซึ่งปีปกติมีบัณฑิตจบใหม่รอมาซื้อ กลุ่ม first jobber เป็นดีมานด์ ซื้อคอนโดฯ หลังแรกอย่างต่อเนื่อง แต่การจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ในช่วง 2-3 ปี (ปี 2563-2565) ค่อนข้างตะกุกตะกัก รายได้อาจไม่ค่อยดีเหมือนภาวะปกติ เป็นภารกิจแรก ๆ ที่ต้องเข้าไปช่วยกันกระตุ้นกำลังซื้อตรงนี้
ผมมีไอเดียคุยกับทางนายกท่านเก่า ไปผลักดันร่วมกับหน่วยงานรัฐต่อ รวมถึง NCB บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ยุคโควิด 2 ปีที่ผ่านมาเป็นอุบัติเหตุ ทำให้เขา (ลูกค้า) กู้ไม่ได้ ถ้าเราไปผลักดันว่าตรงนี้ไม่นับได้ไหม เพราะการเลิกจ้างหรือลดเงินเดือน ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของผู้กู้ เกิดจากทั้งประเทศ ทั่วโลก เป็นกระดุมเม็ดแรก ๆ ที่จะเข้าไปทำ…”
ประเด็นที่ผมคิดว่าอยากจะกราบเรียนทุกท่านที่ตั้งใจจะสร้างทางออกในเรื่องนี้ในเชิงเทคนิคของกฎกติกาในระบบปัจจุบันก็คือ
1. ข้อมูลในสมุดพกการก่อหนี้ การชำระหนี้ ของคนที่เป็นลูกหนี้คือความจริงตามสภาพและเหตุปัจจัย ข้อมูลนี้ไม่ควรถูกปิดบัง ทำให้สั้นกว่ามาตรฐานโลก และไม่ควรมีการแก้ไขใด ๆ
2. ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ศักยภาพของตัวลูกหนี้ในการสร้างรายได้ หารายได้มาชำระหนี้ในอนาคตที่จะก่อเพิ่มจากการซื้อทรัพย์สินประเภทคอนโดมิเนียมนี้ยังมีศักยภาพอยู่ และจะมั่นคงแข็งแรงเมื่อโควิด-19 ซาลง นั่นคือการพิสูจน์ให้ได้ว่ามีแหล่งรายได้มาชำระหนี้ค่อนข้างแน่นอนกับภาระหนี้ที่เพิ่ม
3. กฎกติกาที่ผูกมัดรัดตรึงคนให้กู้ สถาบันที่ให้กู้ ในกรณีที่จะให้กู้กับคนที่มีบัญชีหนี้เสีย แล้วปรับโครงสร้างหนี้เสียแล้ว ต่อมาต้องการกู้เพื่อซื้อคอนโดมิเนียมเพิ่มนั้น มันมีจุดใดต้องปลดล็อกด้วยนะครับ ระยะดูใจหลังจากที่มีการปรับโครงสร้างหนี้จากคนเคยมีบัญชีหนี้เสีย เคยเป็นหนี้เสีย มาเป็นหนี้ระหว่างปรับโครงสร้างและต้องการกู้เพิ่มคืออะไร อันนี้ต้องลงไปหาทางปลดล็อกด้วยนะครับ ไม่งั้นเจ้าหนี้ที่อยากปล่อยคงยากจะทำใจได้ครับ
4. เห็นด้วยมาก ๆ ครับกับการลดราคาลงมาให้เกิดความสมเหตุสมผล ตามสถานการณ์ครับ ผ่อนสั้นผ่อนยาว เบาได้เบา เวลานี้ก็ต้องไปให้รอดทั้งสามฝ่ายคือคนกู้มาเพื่อซื้อ เจ้าของโครงการที่กู้มาเพื่อสร้าง สถาบันการเงินคนที่เอาเงินฝากที่ระดมมาให้กู้ แต่พอเห็นกำไรที่ท่าน ๆ แจ้งในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ผู้เขียนคิดเอาเองนะครับว่าน่าจะลงไปได้อีก อีกเยอะพอสมควร เพื่อให้น้อง ๆ คนทำงานหน้าใหม่ ผู้กู้หน้าใหม่ ลูกค้ากลุ่มใหม่ คนรุ่นใหม่ มีที่อยู่ใหม่ และเชื่อในระบบเศรษฐกิจใหม่ว่า มันทำให้พวกเขามีโอกาสได้มีบ้านใหม่เป็นของตนเอง
ในอดีตเปิดโครงการ มีคนมาจองตอนพรีเซลพอประมาณ จากนั้นก็มีการขยับราคาขายขึ้นไป บริหารต้นทุนการก่อสร้าง ต้นทุนการขาย การส่งเสริมการขายที่เพิ่มขึ้นไป คนรายหลังซื้อแพงกว่ารายแรกเรื่อย ๆ จนกราฟสามเส้นนี้ไปบรรจบกันพอดีตอนขายจบ สร้างเสร็จ ปิดโครงการ ลงบัญชี กำไรออกมาแบบ wow wow เพลายามนี้เอาแต่พอควรนะครับ เบาได้เบา อย่างน้อยเราก็จะได้ร่วมด้วยช่วยกัน ลดเงื่อนไขในประเด็นความคิด ความรู้สึกนึกคิดของน้อง ๆ คนเริ่มทำงาน คนจบใหม่ ที่ออกมาบอกว่า มองไม่เห็นอนาคตที่จะมีหนึ่งในปัจจัยสี่ในบ้านเรา ซึ่งมักจบลงด้วยคำบอกว่า อยากย้ายประเทศ ที่คนรุ่นผมรับฟังแล้วได้แต่คิดว่า “ทำกำไรกันจนมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร…”
กราบขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ ผิดพลาดประการใดโปรดให้อภัยด้วยนะครับ