#ASW #ทันหุ้น – ASWตั้งเป้ารายได้รวมทั้งปี 2565 เติบโตมากกว่า 20% จากแบ็กล็อกในมือกว่า 7.3 พันล้านบาท คาดยอดโอนกรรมสิทธ์รวมไม่ต่ำกว่า 1 แสนหน่วย หนุนจากรัฐบาลเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ควบคู่ทยอยเปิดประเทศประชาชนเริ่มมั่นใจวางแผนอนาคต ย้ำบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ปรับกลยุทธ์การตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตมากกว่า 20% หรือประมาณ 6,500 ล้านบาทขึ้นไปเมื่อเทียบกับรายได้รวมทั้งปี 2564 ที่ทำได้ 5,034 ล้านบาท หนุนจากยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ ปัจจุบันที่มีมูลค่ารวมกว่า 7,338 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องทั้งปี 2565
เปิดตัว 7 โรงการใหม่
โดยปีนี้ บริษัทมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 7 โครงการ แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 5 โครงการ และโครงการแนวราบ 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 12,400 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าจะผลักดันยอดขาย (Pre-Sale) ทั้งปีได้ที่ 10,000 ล้านบาท และคาดยอดโอนกรรมสิทธิ์รวมไม่ต่ำกว่า 100,000 หน่วย เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อนที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 98,000 หน่วย
สำหรับสถานการณ์ระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ซึ่งส่งผลให้ราคาพลังงานทั่วโลก รวมถึงในไทยเร่งตัวขึ้นถือเป็นปัจจัยกดดันระยะสั้น เบื้องต้นยังไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของประชาชน เนื่องจากโดยภาพรวมของเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง หนุนจากการที่รัฐบาลพยายามดำเนินมาตรการผ่อนคลาย ควบคู่กับมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ รวมถึงความพยายามที่จะเปิดประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประชาชนมีความมั่นใจในการวางแผนสร้างความมั่นคงในอนาคต
“มาตรการที่สนับสนุนตลาดอสังหา ในปีนี้คือการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% และการผ่อนคลายมาตรการ LTVรวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวในระดับต่ำเมื่อนำมารวมกับต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำ ซึ่งเป็นโครงการในมือที่ดำเนินการต่อเนื่องจากช่วง 2 ปีที่ผ่าน ทำให้ต้นทุนต่ำสามารถนำมาจัดโปรโมชั่นทางการตลาด สร้างความได้เปรียบทางธุรกิจได้ต่อเนื่อง”
วางแผนเปิดโครงการ
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ประเมินสถานการณ์อุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายทั้งในปัจจุบัน – อนาคตโดยนำทั้งปัจจัยบวก และปัจจัยกดดันมาประกอบเพื่อวางกลยุทธ์การดำเนินงานอย่างรัดกุม จึงพิจารณาทยอยเปิดโครงการคอนโดมิเนียม เพื่อรองรับความต้องการในอนาคต ทั้งจากความต้องการที่อยู่อาศัยของคนในประเทศ และความต้องการของชาวต่างชาติที่จะทยอยกลับเข้ามาลงทุน – ทำงานในไทย ควบคู่กับการพัฒนาโครงการแนวราบเพื่อเป็น Backlogรับรู้รายได้ให้กับบริษัทอย่างมั่นคงต่อเนื่องระยะ 5 ปี
พร้อมกันนี้ บริษัทได้บริหารจัดการต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งค่าใช้จ่ายด้านการตลาด, ต้นทุนวัสดุก่อสร้าง, ค่าแรงงาน รวมถึงต้นทุนทางด้านสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้น
“การพัฒนาโครงการแนวราบสามารถสร้างรายได้คืนกลับมาเร็ว สามารถนำกระแสเงินสดมาหมุนเวียนในบริษัทได้ต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทประเมินว่าปริมาณคอนโดมิเนียมที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันจะถูกดูดซับจนหมดไปในช่วงกลางปี 2566 จึงวางแผนพัฒนาโครงการขึ้นมาเพื่อทดแทนตั้งแต่ปีนี้ เพราะแต่ละโครงการใช้เวลาประมาณ 3 ปีขึ้นไป โดยแต่ละโครงการต้องตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพจึงจะสามารถดึงดูด – เร่งการตัดสินใจของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้”