Frasers Property Home ลุยทุกเซกเม้นท์จ่อเปิด 11 โครงการ มูลค่า 17,500 ล้านบาท

ส่งหน้านี้ให้เพื่อน

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) เปิดเกมธุรกิจปี 66 ปูพรมขยายโครงการอสังหาริมทรัพย์ทุกเซกเมนต์ จ่อเปิด 11 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 17,500 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดขายรอรับรู้รายได้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14%

นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด ได้ประเมินถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยแปี 2566 ว่า มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้แรงสนับสนุนจากมาตรการเศรษฐกิจของภาครัฐ การลงทุนเพิ่มขึ้นของภาคเอกชน การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น นโยบายการเปิดประเทศที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาและคาดว่าจะมีจำนวนสูงกว่า 20 ล้านคน ซึ่งภาคการท่องเที่ยวจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญผลักดันเศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ 3% – 3.5% 

ประกอบกับการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ โดยเฉพาะในหัวเมืองหลักเพื่อรองรับการกลับมาของการท่องเที่ยว พร้อมทั้งนักลงทุนต่างชาติที่ทยอยกลับเข้ามา ส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยบริษัทภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 นี้ มองว่าจะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องเนื่องจากความต้องการที่อยู่อาศัยมีเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าในส่วนของการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยของโครงการคอนโดมิเนียมจะเติบโต 27% เทียบกับปี 2565 ที่มีอัตราการเติบโต 26% ส่วนแนวราบคาดว่าจะขยายตัวที่ 73% 

ในส่วนของราคาที่ดิน ก่อนและหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ช่วงปี 2564-2565 มีการปรับตัวเพิ่ม 75% โดยมีปัจจัยจากโครงสร้างพื้นฐานที่มีการเชื่อมต่อสู่จังหวัดตะวันตก รวมถีงความเป็นเมืองขยายจากรถไฟฟ้า การเกิดขึ้นใหม่ของทางด่วน การแข่งขันสูงโครงการเกิดใหม่เยอะ เช่น ทำเลรัตนาธิเบศร์-ชัยพฤกษ์ เติบโต 64.4% ปิ่นเกล้า-ราชพฤกษ์ 65.5% วัชรพล-สายไหม 44.2% เกษตร-รามอินทรา 60.4% สุขสวัสดิ์-ประชาอุทิศ 63.2% พระราม 2-บางบอน 97.9% รามคำแหง-อ่อนนุช 138.3% เทพารักษ์-บางพลี 38.8% และ บางนา-วงแหวน 98.4%

“เศรษฐกิจดี อสังหาดี การท่องเที่ยวเป็นพระเอกในปีนี้ ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ส่งผลให้เกิดงานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ส่วนการเมืองยังต้องจับตามอง ซึ่งการเลือกตั้งในปีนี้ เกิดความชัดเจน ทางเศรษฐกิจมากขึ้นกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก มีการใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ซึ่งคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่ต้องติดตามสถานการณ์ ส่วนภาคการส่งออกได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนโดยในเดือน ต.ค.ปีที่ผ่านมา ลดลง 4.4% ทางด้านหนี้สินครัวเรือนอยู่ในระดับสูงที่ 90% และดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มสูง ที่ 1.25% ทั้งนี้คาดว่าในปี 2566 นี้จะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น 1.75% ”นายแสนผิน กล่าว 

ส่วนการดำเนินแผนธุรกิจในปี 2566 บริษัทตั้งเป้ายอดขายรอรับรู้รายได้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปี 2565 โดยแผนปีนี้ บริษัทจะขยายบ้านเดี่ยว เพิ่มพอร์ตคอนโดมิเนียม ซึ่งจะเป็นการเติบโต 2 ทาง แบบ ออร์แกนิค เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 2-3 โครงการ ทำเลเมือง ใกล้รถไฟฟ้า ระดับราคา 3-5 ล้านบาท เช่น ลาดพร้าว รัชดา รามอินทรา แยกไฟฉาย และ แบบ Inorganic ทั้งนี้บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 17,500 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 7 โครงการ ทาวน์โฮม 2 โครงการ บ้านแฝด 1 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ 

นอกจากนี้บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ระดับ Super Luxury Residence มูลค่าโครงการประมาณ 60-120 ล้านบาท แบรนด์ใหม่ The Royal Residence ระดับราคา 50-120 ล้านบาท และ แบรดน์ระดับลักชัวร์รี่ ระดับราคา 20-50 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ Alpina และ แบรดน์ The Grand อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทมีแผนซื้อที่ดินด้วยงบประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท

ทั้งนี้บริษัทได้เดินหน้าทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ตามแผน เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในการดำเนินธุรกิจครั้งสำคัญให้ก้าวเข้าสู่ความแข็งแกร่งในทุกด้าน ภายใต้วิสัยทัศน์ คิดใหม่ ทำใหม่ (ให้) ใหม่เสมอ เพื่อสร้างผลตอบแทนบนรายได้ที่เติบโตสม่ำเสมอ ผ่าน 2 กุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่ เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิม พัฒนาโครงการตรงต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายด้วยสินค้าที่มีคุณภาพและมีนวัตกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการอยู่อาศัยที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน และเติบโตบนสมรภูมิใหม่ กับการสร้างโอกาสใหม่ ๆ เพื่อสามารถรักษาระดับอัตราการเติบโตของธุรกิจ 

สำหรับในปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทมีกลยุทธ์ดำเนินธุรกิจ โดย 1.พัฒนาที่ดิน การเปิดตัวโครงการด้วยที่ดินเดิม ได้เปรียบเรื่องต้นทุน 2. ขยายตลาดบ้านเดี่ยว กลุ่มลูกค้า บ้านเดี่ยว 3.กลยุทธ์ราคาและปรับพอร์ตที่ทำราคาได้ ใช้กลยุทธ์ด้านราคาที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดเป็นผลให้ กำไรเพิ่ม ลดค่าใช้จ่ายและการตลาด 10% และ 30% สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ 11,392 เติบโต 2% แบ่งเป็น รายได้จากบ้านเดี่ยว 4,519 ล้านบาท เติบโต 66% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีรายได้จากบ้านเดี่ยว 2,730 และ กำไร 1470 ล้านบาท เติบโต 63%

 


ส่งหน้านี้ให้เพื่อน