INTERVIEW: BSM พลิกโฉมสู่อสังหาฯโมเดลใหม่แบบ Smart Modular พร้อม Spin-off บ.ย่อยเข้า

ส่งหน้านี้ให้เพื่อน

INTERVIEW: BSM พลิกโฉมสู่อสังหาฯโมเดลใหม่แบบ Smart Modular พร้อม Spin-off บ.ย่อยเข้า mai

นายสัญชัย เนื่องสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.บิวเดอสมาร์ท (BSM) ให้สัมภาษณ์กับ “อินโฟเควสท์” ว่า บริษัทเตรียมปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โมเดลใหม่ โดยเพิ่มกลุ่มธุรกิจบ้านสำเร็จรูประบบ Smart Modular ทั้งการรับสร้าง พร้อมจับมือกับพันธมิตรรับบริหารบ้านพักตากอากาศหรือรีสอร์ทขนาดเล็ก-กลาง รวมถึงลงทุนรีสอร์ทด้วยตัวเองเพื่อสร้างรายได้ประจำ ต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบเดิมที่จะเดินหน้าขยายงานและปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจควบคู่กันไป

ขณะเดียวกันมีแผน Spin-off ธุรกิจในเครือ คือ บริษัท อัลลอย โซลูชั่นส์ เอเชีย จำกัด ประกอบธุรกิจด้านพัฒนางานกระจกอลูมิเนียมภายใต้แบรนด์ Alloy และเป็นตัวแทนผลิตและจำหน่ายระบบประตูหน้าต่าง เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งได้ในปี 67

พร้อมคาดว่าผลประกอบการในปี 66 จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิจากแรงหนุนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะมีการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลงานในปีนี้ฟื้นตัวได้ดีขึ้นไปถึงปีหน้า ประกอบกับธุรกิจวัสดุก่อสร้างและตบแต่งฟื้นตัวขึ้นภายหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายลงไป โดยตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 66 ที่ราว 800-1,000 ล้านบาท

“เราได้มีการปรับโครงสร้างภายในองค์กรใหม่เพื่อที่จะหันมาให้ความสำคัญต่อกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น และ เมื่อผลกระทบจากโควิด-19 หายไป ผลประกอบการในทุกๆ กลุ่มเริ่มกลับมาฟื้นตัว ประกอบกับเรามีบุกธุรกิจใหม่ จะเข้ามาช่วยหนุนให้ผลประกอบการมีกำไร”นายสัญชัย กล่าว

*ผุด BU ใหม่สร้างบ้านสำเร็จรูป Smart Modular-ลงทุนรีสอร์ทปั้นรายได้ประจำ

นายสัญชัย กล่าวว่า บริษัทได้เริ่มพัฒนาธุรกิจบ้านสำเร็จรูป Smart Modular System ที่จะเป็นหน่วยธุรกิจใหม่ โดยจะรับก่อสร้างให้กับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการพัฒนาที่ดินในมือในลักษณะบ้านพักตากอากาศหรือรีสอร์ทขนาดเล็ก เพื่อให้สอดรับกับภาคการท่องเที่ยวของประเทศที่ฟื้นตัวได้รวดเร็วหลังการเปิดประเทศ ซึ่งจะเป็นบ้านสำเร็จรูปแบบทั้ง Fully Fited และ Fully Furnished ที่สามารถควบคุมต้นทุนและระยะเวลาการก่อสร้างได้ดี ด้วยการนำบ้านสำเร็จรูปมาติดตั้งได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งจุดเด่นของบริษัทที่มีความชำนาญในด้านวัสดุก่อสร้างและตบแต่งที่มีคุณภาพและครบวงจร

BSM ตั้งเป้าหมายเบื้องต้นว่าในปี 66 จะผลิตบ้านสำเร็จรูป Smart Modular อย่างน้อย 80-100 หลัง หรือเดือนละ 7-8 หลัง ซึ่งขณะนี้เริ่มมีคำสั่งซื้อที่ยืนยันแล้ว ยังไม่รวมรายย่อย ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ในแรกราว 80 ล้านบาท โดยมีมูลค่าราว 10-30 ล้านบาท/โครงการ

“มันก็คือบ้านน็อคดาวน์ อย่างที่เห็นนี่คือหลังหนึ่ง 4 บล็อกมาต่อกัน ก็ใช้ผสมผสานระหว่างทำในโรงงาน ประมาณสัก 70-80% แล้วก็ขนมาประกอบที่นี่ จากนั้นเริ่มงานภายใน ทำแบบนี้เร็วและสะดวกกว่า ทั้งหมดใช้เวลาแค่ 6 เดือนในการทำก็ถือว่าเร็วมาก”นายสัญชัย กล่าวถึงโครงการตัวอย่างรีสอร์ทบ้านน็อคดาวน์ของ BSM ขนาดพื้นที่ราว 1.5 ไร่ ตั้งอยู่ที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา

“ใครมีความสนใจอยากจะมีรีสอร์ท เราก็จะเสนอมีแพคเก็จให้ น้อยที่สุด 5 ห้องพัก ไปถึง 10 ห้องพัก 20 ห้องพัก นี่จะเป็นลูกค้า main หลักของเรา และก็ลูกค้ารายย่อย ตอนนี้ก็มีแบบ 5 แบบบ้านให้เลือก เราเน้น 3 เรื่อง เรื่องแรก คือ เราเน้นคุณภาพ อย่างที่ 2 คือความไว ถ้าคุณภาพดีแต่ช้ามากคนก็ไม่รอ และเรื่องที่ 3 คือเรื่องราคาเหมาะสม เราไม่ได้แข่งที่ราคาถูกที่สุด”นายสัญชัย กล่าว

นอกจากรับก่อสร้างแล้ว บริษัทยังมีบริการรับดูแลบริหารเพื่อให้เช่า โดยเปิดตัวพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการ บริหารจัดการห้องพัก โรงแรม รีสอร์ทขนาดเล็ก ที่จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการโครงการในลักษณะเฟรนไชส์ พร้อมกันนั้น บริษัทยังมองโอกาสการลงทุนตั้งรีสอร์ทขนาดเล็ก (ไฮ-รีสอร์ท) เป็นของตัวเองด้วย เบื้องต้นคาดไว้ที่ 3-5 แห่งในปี 66 ซึ่งในส่วนนี้จะสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ให้กับ BSM

*ลุยเปิดเฟสใหม่ “แสนสรา” หัวหิน Luxury Pool Villa-Community Mall-Townhome

นายสัญชัย เปิดเผยอีกว่า บริษัทยังมีแผนเดินหน้าขยายงานธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายในรูปแบบเดิม โดยโครงการแสนสรา หัวหิน ซึ่งมีที่ดินรวม 30 ไร่ จะมีการต่อยอดการพัฒนาโครงการเดิมที่มีอาคารคอนโดมิเนียม 2 อาคาร จำนวน 50 ยูนิต และ Pool Villa 11 หลังที่ขายเกือบหมดแล้ว

“จุดเด่นของโครงการแสนสราของเราอยู่ในสนามกอล์ฟ Black Mountain ที่เคย Host การแข่งขันในระดับ PGA และใน Area ใกล้ ๆ กันก็มีโรงเรียนนนานาชาติชื่อดังอยู่”นายสัญชัย กล่าว

ในเฟสใหม่บนที่ดินที่รอการพัฒนาอีก 15 ไร่ แบ่งเป็นแปลง 8 ไร่ที่ติดกับโครงการเดิมจะพัฒนาเป็น Luxury Pool Villa ราว 10 หลัง ส่วนที่ดินด้านหน้าโครงการติดถนนใหญ่ราว 7 ไร่ครึ่ง มีแผนจะพัฒนาเป็น Community Mall ที่จะมีพื้นที่เชิงพาณิชย์และมี Wellness center รวมกันประมาณ 2,500-3,000 ตารางเมตร นอกจากนั้นจะพัฒนาเป็นทาวน์โฮมราว 20 ยูนิต ซึ่งส่วนหนึ่งจะรองรับความต้องการของผู้ปกครอง นักเรียน นักศึกษา ในโรงเรียนนานาชาติและสถาบันอุดมศึกษานานาชาติที่อยู่ในบริเวณใกล่เคียงกับโครงการ

“ไทม์ไลน์ถ้าส่วนของ Retail พยายามจะเริ่มให้ได้เร็วที่สุดเพราะไม่ได้ใช้เงินลงทุนเยอะ ก็น่าจะประมาณไตรมาส 1 ปีหน้าเริ่มแล้ว เราก็ใช้ระบบก่อสร้างไวก็จะไม่ได้ใช้เวลานานไม่ถึงปี 6 เดือนต้องจบแล้ว แต่ส่วนของทาวน์โฮมต้องศึกษาเพิ่มอีกหน่อยคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 ปี มูลค่าทั้งโครงการรวมของเดิมน่าจะประมาณพันกว่าล้านบาท”นายสัญชัย กล่าว

*ปรับรูปแบบห้องคอนโดฯเหลือขายปล่อยเช่ารับดีมานด์จากการเปิดประเทศ

นายสัญชัย เปิดเผยอีกว่า ในส่วนของธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียมใน กทม.ภายใต้ TEAK จะยังไม่มีการขึ้นโครงการใหม่ในขณะนี้ เพื่อรอดูทิศทางการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ชัดเจนขึ้น แต่จะหันมาเน้นขายโครงการที่เหลืออยู่ โดย Teak สุขุมวิท ขายเกือบหมดแล้วเหลือ penthouse ห้องเดียว ส่วน Teak สาทรทั้งหมด 74 ยูนิต เหลือประมาณ 27 ยูนิต และ Teak รัชดาพึ่งสร้างเสร็จโอนไปประมาณ 6 ยูนิต เหลืออีกประมาณ 70 ยูนิต

ดังนั้น บริษัทจึงได้ปรับแผนควบคู่ไปด้วยการปรับรูปแบบโครงการบางส่วนเพื่อสร้าง Recurring Income ด้วยการนำห้องบางส่วนที่เหลือขายมาปล่อยเช่าในลักษณะรายเดือน เพื่อรองรับกับดีมานด์ที่จะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากการเปิดประเทศ

“ตัวคอนโดฯ Teak ถ้ายังขายไม่หมด เราแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งแทนที่จะปล่อยยูนิตไว้ไม่ก่อให้เกิดรายได้เราก็ปล่อยเช่าไป และก็ใครสนใจซื้อเราก็ขาย คือไม่ต้องรอขายอย่างเดียว เอามาปล่อยเช่าเป็นรายเดือนรายปี” นายสัญชัย กล่าว

*Spin-Off ธุรกิจประตูหน้าต่างเข้า mai คาดยิ่นไฟลิ่งต้นปี 67

สำหรับแผนงานธุรกิจทั้งหมด บริษัทคาดว่าจะใช้กระแสเงินสดที่มีเป็นหลัก โดยยังไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน นอกจากนั้น บริษัทยังมีแผนแยกกิจการบริษัทลูกเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เพื่อระดมทุน และเข้าจดทะเบียนในตลาด mai โดยจะเป็นธุรกิจประตูหน้าต่างคุณภาพสูง ภายใต้ บริษัท อัลลอย โซลูชั่นส์ เอเชีย จำกัด (ASA)

นายสัญชัย กล่าวว่า ขณะนี้ ASA อยู่ในช่วงเตรียมตัวเพื่อระดมทุนด้วยการเสนอขาย IPO คาดว่าจะสามารถยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ราวไตรมาส 1/67 โดยในช่วงปีหน้าเป็นการเตรียมความพร้อม และสร้างผลประกอบการให้เติบโตตามเป้าหมาย 400 ล้านบาทภายในปี 67 จากปีนี้ราว 250 ล้านบาท

*วางเป้าผลงานปีหน้าพลิกกลับมาทำกำไรหลังปีนี้ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง

นายสัญชัย กล่างอีกว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิในปี 66 จากภาพรวมในปีนี้ถือว่าฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายลง

บริษัทวางเป้าหมายรายได้ในปีหน้าไว้ที่ 800-1,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นแรงผลักดันจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คาดว่าจะทำรายได้ราว 500-700 ล้านบาท เนื่องจากโครงการภายใต้แบรนด์ “The Teak” มีกำหนดรับรู้รายได้ 2 โครงการ มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท รวมไปถึงโครงการแสนสราหัวหินยังมีการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน จะมีการรับรู้รายได้ราว 300 ล้านบาท จากบริษัทย่อย คือ ASA หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มกลับมาลงทุนมากขึ้น และเริ่มมีคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ทั้งกลุ่มงานออฟฟิศ คอนโดมิเนียม โรงแรม และ โรงพยาบาล เป็นต้น



ส่งหน้านี้ให้เพื่อน