แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เล็งตลาดอสังหาริมทรัพย์จ่อฟื้นตัว หลังเศรษฐกิจภายในประเทศปรับตัวดีขึ้นเเผยแผนปี 66 ลุยเปิด 17 โครงการใหม่ 34,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% พร้อมตั้งเป้าหมายมียอดขาย 35,000 ล้านบาท และเป้าหมายรับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 33,000 ล้านบาท
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 ซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีอัตราการฟื่นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดคอนโดมิเนียมจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2565 โดยจะเป็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนทั้งจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างดีมานด์ในประเทศให้มีอัตราการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง รวมถึงดีมานด์จากลุ่มลูกค้าต่างชาติที่น่าจะทยอยกลับมาตามการเปิดประเทศ และการเดินทางที่เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ
“เทรนด์ของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ คาดว่าจะเริ่มเห็นผู้ประกอบการกลับมาพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น ในขณะที่การกลับมาพัฒนาโครงการคอนโดในเมืองจะลดน้อยลง แต่จะไปพัฒนาโครงการในทำเลชานเมืองมากขึ้น ส่วนซัพพลายตลาดจะเริ่มทยอยระบายออกมาเรื่อยๆ ทั้งนี้โดยรวมขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ผู้ประกอบการ เกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจว่าจะมีการขยายตัวมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตามเชื่อว่าอสังหาริมทรัพย์จะฟื่นตัวได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา”นายนพร กล่าว
และจากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ระบุว่า จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยจดทะเบียนในทำเลกรุงเทพมหานครฯและปริมณฑล ในช่วง 10 เดือนของปี 2565 ที่ผ่านมา มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 53,785 ยูนิต เพิ่มขึ่น 5.6% เทียบกับปีที่ผ่านมา ที่มีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยรวม 50,956 ยูนิต แบ่งเป็น โครงการแนวราบ มีจำนวน 20,876 ยูนิต ลดลง 7.8% แบ่งเป็น บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด จำนวน 11,973 ยูนิต เพิ่มขึ้น 9.6% ทาวน์เฮ้าส์และอาคารพาณิชย์ จำนวน 8,903 ยูนิต ลดลง 24.1% และคอนโดมิเนียม จำนวน 32,909 ยูนิต เพิ่มขึ้น 16.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยที่ 28,302 ยูนิต
ส่วนของภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงปี 2562-2564 หดตัวลดลงอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านจำนวนหน่วยขายและจำนวนหน่วยที่เปิดขายใหม่ อันเป็นผลมาจากมาตการ LTV ที่บังคับใช้ในช่วงเดือน เมษายน 2562 ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตามการชะลอตัวการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการในช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นผลดีต่อตลาดโดยรวม เนื่องจากเป็นการช่วยระบายสินค้าคงเหลือที่คงค้างอยู่ในตลาด
ขณะที่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าในปีที่ผ่านมา เป็นปีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลดีโดยตรงกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าของบริษัท ทั้งในส่วนของโรงแรม อพาร์ทเมนต์ และห้างสรรพสินค้าทั้งในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา โดยในปี 2565 บริษัทได้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าผ่านบริษัท LHMH และ LH USA จำนวน 3,700 ล้านบาท ประกอบด้วย พัฒนาศูนย์การค้า Terminal 21 Rama 3 มูลค่า 350 ล้านบาท และ พัฒนาธุรกิจโรงแรมและอพาร์ตเมนต์ จำนวน 3,350 ล้านบาท
ทางด้านแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 2566 นี้บริษัทบริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 17 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 34,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 16 โครงการ มูลค่า 28,460 ล้านบาท และ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 6,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่พัฒนาโครงการในทำเลกรุงเทพและปริมณฑล 13 โครงการ และต่างจังหวัด 4 โครงการ ทั้งนี้ ณ ต้นปี 2566 บริษัทมีจำนวนโครงการที่ดำเนินการขายทั้งสิ้น 70 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 62 โครงการ มูลค่า 47,983 ล้านบาท และเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ มูลค่า 8,375 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามหากแยกตามประเภทสินค้าที่จะพัฒนาโครงการในปี 2566 นี้ ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 15 โครงการ โครงการบ้านแฝด 1 โครงการ โครงการทาวน์เฮ้าส์ 1 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียม 1 โครงการ ดังนั้น จำนวนโครงการที่จะดำเนินการจะมีรวมทั้งหมดประมาณ 87 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 91,320 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 78 โครงการ มูลค่า 76,450 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 14,870 ล้านบาท
โดยโครงการคอนโดมิเนียมที่ได้กลับมาพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2566 นี้ ซึ่งบริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่จำนวน 1 โครงการ มูลค่า 6,500 ล้านบาท คือ โครงการ The Key ศรีนครินทร์ ซึ่งจะเปิดขายในไตรมาสที่ 3 อย่างไรก็ตามบริษัทได้เตรียมงบลงทุน 9,000 ล้านบาท แบ่งเป็น งบการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 6,000 ล้านบาท งบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 3,000 ล้านบาท สำหรับในปี 2566 นี้ บริษัทตั้งเป้าหมายมียอดขาย 35,000 ล้านบาท และเป้าหมายรับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 33,000 ล้านบาท ส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าตั้งเป้าหมายไว้ที่ 7,150 ล้านบาท