S มั่นใจรายได้ปีนี้นิวไฮแตะ 1.34 หมื่นล้านบาท มาจากธุรกิจโรงแรมที่อัตราเข้าพักฟื้นตัวต่อเนื่อง และอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก เล็งขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT อีก 6 พันล้านบาท ดัน SPRIME ใหญ่ขึ้นเป็นอันดับที่ 1 ในประเทศ
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยในงานแถลง“กลยุทธ์ และ ทิศทางการดำเนินธุรกิจประจำปี 65” ว่า แนวโน้มรายได้ไตรมาส 1/65 คาดอยูที่ 3,500 ล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 169% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เติบโตขึ้นประมาณ 35% จากไตรมาสก่อน หลังทยอยรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่อาศัย 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม ESSE อโศก, โครงการ Singha Complex และ โครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส โดยจะมีการทยอยส่งมอบประมาณ 3-4 แปลงต่อไตรมาส และ มีมูลค่าขาย 250 ล้านบาทขึ้นไปต่อแปลง
ในขณะเดียวกันธุรกิจโรงแรมก็ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 2 เดือนแรก ธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย 3 แห่ง ประกอบด้วย ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ (SHA Extra Plus) , ลากูน่า ภูเก็ต (Laguna Phuket) และ สันติ บุรี สมุย นักท่องเที่ยวในประเทศเดินทางเข้าพักต่อเนื่อง ทำให้อัตราการเข้าพักโดยเฉลี่ย (OCC) อยู่ในระดับสูง
สำหรับในปี 65 บริษัทได้วางเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 13,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับรายได้ที่เติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ (New high) โดยสัดส่วนรายได้จะมาจาก 4 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจโรงแรมประมาณ 8,500 ล้านบาท เติบโตประมาณ 88% ซึ่งในช่วงไตรมาส 1 และ ไตรมาส 4 จะเป็นช่วงไฮซีซั่นของโรงแรมในมัลดีฟส์ และ ไทย ในขณะที่ไตรมาส 2-3 จะเป็นช่วงไฮซีซั่นของสหราชอาณาจักร และ ฟิจิ (FIJI) โดยในปีนี้บริษัทตั้งงบ 500 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ลงทุนปรับปรุงโรงแรมในพอร์ตเพื่อเพิ่มมูลค่าราคาห้องพัก คาดว่าจะช่วยหนุนให้ EBITDA เพิ่มขึ้นประมาณ 40%
ส่วนกลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัยประมาณ 3,000 ล้านบาท มีแผนส่งมอบโครงการอย่างต่อเนื่อง สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) แล้วมูลค่า 2,600 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ 70% ในปีนี้ ในขณะเดียวกันยังมีคอนโดมิเนียมพร้อมโอนมูลค่ารวมกว่า 900 ล้านบาท และช่วงไตรมาส 3/65 บริษัทยังมีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบในระดับราคาขาย 50-80 ล้านบาทต่อแปลง จำนวน 1 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 2,900 ล้านบาท
กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมประมาณ 500 ล้านบาท จะเริ่มรับรู้รายได้จากการจากการขายที่ดิน และ การให้บริการโครงสร้างพื้นฐานภานในนิคมฯ เบื้องต้นในปีนี้บริษัทได้ตั้งเป้าหมายขายที่ดินภายในนิคมฯ ประมาณ 15% ของจำนวนพื้นที่ขายทั้งหมดที่ 1,000 ไร่ หรือ ประมาณ 150 ไร่ ซึ่งกำหนดราคาขายไร่ละ 3.5 ล้านบาท
และปีนี้จะสามารถรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าเต็มปี หลังจากปลายปีที่ผ่านมาได้เข้าลงทุนถือหุ้น 30% ในบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 1 จำกัด ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประเภทพลังความร้อนร่วม ด้วยกำลังผลิต 123 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยังได้ร่วมลงทุนกับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 2 จำกัด และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 3 จำกัด เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมอีก 2 แห่งด้วยกำลังการผลิตรวม 280 เมกะวัตต์ ซึ่งโรงไฟฟ้าทั้งสองโรงจะสามารถดำเนินการจ่ายไฟฟ้าได้ในปี 66
ส่วนรายได้ที่เหลือจะมาจากกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า โดยปีนี้บริษัทมีแผนจะขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME) จำนวน 3 รายการ มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ Singha Complex ซึ่งมีมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท , โครงการ เอส เมโทร (S METRO) และ พื้นที่ค้าปลีก ภายในโครงการซันทาวเวอร์ คาดว่าจะได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ภายในไตรมาส 3/65 ซึ่งจะทำให้ขนาดสินทรัพย์ของกอง SPRIME ใหญ่ขึ้นเป็นอันดับที่ 1 ในประเทศไทย
“เราจะใช้ประโยชน์จาก 4 กลุ่มธุรกิจในการสร้างให้เกิดธุรกิจร่วมเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตของเรา และ การเติบโตในครั้งนี้ เราจะไม่เดินคนเดียว การทำงานกับพันธมิตรในธุรกิจร่วมทุนทำให้เห็นถึงผลสำเร็จแบบวงกว้าง เราจึงกำลังอยู่ในระหว่างมองหาโอกาสในการร่วมมือกับพันธมิตรแขนงต่าง ๆ เพื่อให้เราสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาด และ เสริมสร้างความแตกต่างที่ดีที่สุดให้กับบริษัทฯ ได้ โดยเราคาดว่าความพยายามดังกล่าว จะผลักดันให้เราสามารถขยายการเติบโตทางธุรกิจภายใน 5 ปีข้างหน้าได้ที่ CAGR ประมาณ 25% ต่อปี”นางฐิติมา กล่าว
ลักษณะธุรกิจของ S
พัฒนาและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์