ส่งหน้านี้ให้เพื่อน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“พราวพุทธ ลิปตพัลลภ” เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวลงทุนอสังหาอีกรอบ หลังโควิดเริ่มคลี่คลาย รัฐบาลเปิดประเทศมากขึ้น ทุ่มงบลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดฯในหัวหิน ภายใต้ชื่อ “เวหา” มูลค่า 2,290 ลบ. เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าคนไทย 80% เผยลูกค้าชาวรัสเซียหลบภัยสงคราม ซื้อห้องชุดในโครงการผ่านโบรกเกอร์มาแล้ว 5% แย้มศึกษาผุดโครงการบ้านซูเปอร์ลักชัวรีใจกลางซีบีดีกรุงเทพฯ ลั่นยืนเป้า 5 ปี ปั้นพอร์ตรวมอสังหา10,000 ลบ.

นางสาวพราวพุทธ ลิปตพัลลภ กรรมการ บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือ PROUD กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสถานการณ์ปัจจุบันว่า แนวโน้มเรื่องการท่องเที่ยวและการลงทุนเริ่มจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ภาครัฐเดินหน้าเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทย ขณะที่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเมืองท่องเที่ยวกำลังกลับมาฟื้นตัว โดยเฉพาะหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แม้ช่วง2-3 ปีที่ผ่านมา จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่อสังหาในหัวหินถือว่าได้รับผลกระทบน้อย เพราะมีนักท่องเที่ยวและผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นบ้านหลังที่สอง ย้ายเข้ามาพักในหัวหินเป็นจำนวนมาก และพบว่ามีความต้องการบ้านหลังที่สองอีกอย่างต่อเนื่อง

“ตลาดคอนโดมิเนียมในเมืองหัวหิน ยังมีโอกาสเติบโต ด้วยศักยภาพของเมืองที่มีเสน่ห์และมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน อีกทั้งอยู่ในพื้นที่ที่เป็นแนวทางพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตทะเลฝั่งตะวันตกในโครงการ “Thailand Riviera” เพื่อยกระดับเมืองท่องเที่ยวชายทะเล สู่ระดับโลก ครอบคลุมตั้งแต่ จ.เพชรบุรี, จ.ประจวบคีรีขันธ์, จ.ชุมพร และ จ.ระนอง รวมถึงจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล อาทิ รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ ที่จะช่วยลดเวลาการเดินทางจากกรุงเทพฯมาหัวหินใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และทางด่วนยกระดับคู่ขนานมอเตอร์เวย์นครปฐมและชะอำที่มีแผนเสร็จสิ้นในปี 2568”

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนพัฒนาโครงข่ายการคมนาคม อาทิ การเดินทางโดยเครื่องบิน ปัจจุบันมีแผนขยายสนามบินเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และความร่วมมือกับ Phoenix Group เพื่อเตรียมพัฒนาสนามบินหัวหิน สู่สนามบินนานาชาติหัวหิน โดยในเดือนกรกฎาคม 2565 จะมีการเพิ่มไฟล์ทบินตรงจากภูเก็ต และนำเส้นทางบินจากเชียงใหม่กับกัวลาลัมเปอร์กลับมาอีกครั้ง ส่งผลให้หัวหินจะมีดีมานด์ของกำลังซื้อระดับอินเตอร์เพิ่มมากขึ้น



ล่าสุด บริษัทฯได้เปิดตัวโครงการ “เวหา” ซึ่งพัฒนาบนที่ดินสะสมของครอบครัวติดกับโรงแรม “ฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท วานา นาวา หัวหิน” บนที่ดินทั้งหมด 5 ไร่เศษ พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม จำนวน 1 อาคาร สูง 31 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 28-349 ตารางเมตร(ตร.ม.) ราคาเริ่มต้นที่ 3.19-50 ล้านบาท หรือราคาขายเฉลี่ยประมาณ 135,000 บาทต่อตร.ม. จำนวน 364 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,290 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายโครงการภายในสิ้นปีที่ 40-50% โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าชาวไทยเป็นหลักถึง 80% และต่างชาติ 20%ได้แก่ รัสเซีย ซึ่งขณะนี้ถือว่าเป็นลูกค้ากลุ่มหลัก ขณะนี้มีสัดส่วนประมาณ 5% ที่มาซื้อโครงการ และยิ่งเกิดสงครามการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ก็ยิ่งทำให้ชาวรัสเซียมีความพยายามที่จะนำเงินออกมาลงทุนนอกประเทศมากขึ้น และประเทศไทย โดยเฉพาะหัวหินก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเช่นกัน รองลงมาจะเป็นกลุ่มประเทศแถบสแกนดิเนเวีย กลุ่มไต้หวัน และสิงคโปร์ ที่มาทดแทนลูกค้าชาวจีนที่ยังปิดประเทศอยู่ แต่คาดว่าเมื่อประเทศจีนเปิดประเทศก็จะทำให้ตลาดกลุ่มชาวจีนเพิ่มขึ้น โดยการก่อสร้างโครงการจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี2568

ทั้งนี้ บริษัทฯเองยังคงเน้นไปที่การพัฒนาที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ซึ่งได้มีการศึกษาการพัฒนาในทำเลที่มีศักยภาพต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯที่อยู่ในเมือง และต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ปีละประมาณ 1-2 โครงการ หากเป็นการพัฒนาในรูปแบบของคอนโดมิเนียม ก็จะมีมูลค่าตั้งแต่ 2,000 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดที่ดินที่ได้มา

“ราคาที่ดินเปล่าหากอยู่ติดทะเล ปัจจุบันพุ่งสูงไปที่ประมาณ 150 ล้านบาทต่อไร่ ส่วนที่ดินไม่ติดทะเล ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป จึงมองว่าราคาขายของ ‘เวหา’ มีความคุ้มค่าเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับทำเลที่ตั้ง”

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้มองว่าจะมีการฟื้นตัวขึ้น จากการที่มีรายได้เข้ามาจากการโอนโครงการ Intercontinental Residences Huahin มูลค่ากว่า 3,600 ล้านบาท ซึ่งมียอดขาย 95% และเริ่มทยอยโอนเข้ามาแล้วตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นรายได้หลักเข้ามาให้กับบริษัทในปีนี้ ทำให้ผลการดำเนินงานในปี 2565 มีการฟื้นตัวขึ้น โดยบริษัทยังคงเป้าหมายตามแผน 5 ปี จะมีโครงการอสังหาในพอร์ต 10,000 ล้านบาท

“เรามีแผนที่จะกลับเข้ามาทำโครงการในกรุงเทพฯ ซึ่งอาจจะเป็นโครงการแนวราบในย่านใจกลางเมือง (CBD) แม้ว่าจะมีที่ดินสะสมอยู่บางแปลงแล้ว แต่ก็ยังมองหาที่ดินที่เหมาะสมและมีศักยภาพเพิ่มเติม โดยโครงการที่พัฒนาจะเป็นระดับซูเปอร์ลักชัวรี เน้นกลุ่มเรียลดีมานด์เป็นหลัก ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูล จึงยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้”.


ส่งหน้านี้ให้เพื่อน